ฟังคุฏบะฮ์นี้ได้จาก YouTube
คุฏบะฮ์ - บะเราะกะฮ์ในชีวิต - ซุฟอัม อุษมาน - YouTube
หรือบน SoundCloud
พี่น้องมุสลิมีนที่อัลลอฮ์เมตตาทุกท่าน
อัลหัมดุลิลลาฮ์ ชุโกรต่ออัลลอฮ์
ที่เรายังมีลมหายใจ มีปัจจัยในการดำรงชีวิต มีความเมตตาจากอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา
อย่างล้นพ้นมาแก่เรา ไม่ว่าจะเจอสถานการณ์อะไร เรายังคงมีอัลลอฮ์ผู้ทรงดูแลเราอยู่เสมอ
เราเคยพูดถึงการแสวงหาริซกีที่หะรอม
ว่ามันอันตรายแค่ไหนสำหรับมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ผู้คนหย่อนยานและไม่ให้ความสำคัญกับหะลาลและหะรอมในการแสวงหาทรัพย์สินซึ่งเป็นปรากฏการณ์หนึ่งของสัญญาณวันสิ้นโลก
คำถามก็คือ แล้วมีวิธีการอย่างไรที่จะให้ชีวิตของเราอยู่ในกรอบของการแสวงหาริซกีที่หะลาล
ริซกีที่มีความบะเราะกะฮ์หรือความเพิ่มพูนในชีวิตของเราได้บ้าง?
คำว่า บะเราะกะฮ์ หรือบะเราะกาต
คิดว่าพี่น้องคงได้ยินกันมาบ้าง หมายถึงการเพิ่มพูน ความมั่นคงอย่างถาวรที่เราได้รับจากอัลลอฮ์
สุบหานะฮูวะตะอาลา[1]
มันคือคุณค่าที่เราสัมผัสได้ว่าให้ความสุขกับชีวิต
มันอาจจะไม่ได้อยู่ในรูปแบบของวัตถุเสมอไป ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«لَيْسَ الغِنَى عَنْ كَثْرَةِ
العَرَضِ، ولَكِنَّ الغِنَى غِنَى النَّفْسِ» [البخاري 6446، مسلم 1051]
ความว่า “ความร่ำรวยนั้นไม่ใช่วัดด้วยการที่ว่ามีทรัพย์สมบัติมากมายแค่ไหน
แต่ความร่ำรวยก็คือการรวยหัวใจ(หัวใจรู้สึกพอเพียงกับสิ่งที่มี)” (อัล-บุคอรีย์ 6446, มุสลิม 1051)
พี่น้องครับ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในโลกยุคนี้ โลกยุคที่ผู้คนเรียกว่าสมัยใหม่
มีความเจริญต่างๆ นานามากมาย มีการกระจายรายได้กันถ้วนหน้า
มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกเยอะแยะ มีหนทางในการทำมาค้าขายการทำอาชีพมากมายในโลกออนไลน์และออฟไลน์
แต่ผู้คนก็ยังรู้สึกว่าชีวิตยังไม่พอ ยังรู้สึกว่าตัวเองคับแคบ
ยังคงอยากได้มากขึ้น
เราเห็นว่าในขณะที่ประเทศมหาอำนาจหลายๆ
ประเทศร่ำรวยมหาศาลจนสามารถให้เงินกู้กับประเทศที่ยากจนเป็นหมื่นล้านแสนล้าน
ด้วยดอกเบี้ยที่จ่ายแล้วจ่ายอีกก็ยังปลดหนี้ไม่ได้
ความมั่งคั่งของฝั่งหนึ่งที่สร้างความยากจนข้นแค้นในอีกฝั่งหนึ่ง สิ่งเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นบะเราะกะฮ์ได้อย่างไร?
นี่คือชีวิตของพวกเราในโลกยุคนี้
ถ้าเราย้อนกลับไปดูในสมัยของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านให้ความสำคัญกับบะเราะกะฮ์ ความเพิ่มพูนในริซกี ในชีวิต
ในสังคม มากกว่าจำนวนตัวเลข ท่านนบีได้ขอดุอาอ์ให้มีบะเราะกะฮ์แก่เมืองมะดีนะฮ์
«اللَّهُمَّ اجْعَلْ بالمَدِينَةِ ضِعْفَيْ ما بمَكَّةَ مِنَ
البَرَكَةِ». [عن أنس بن مالك، البخاري 1885، مسلم 1369]
ความว่า “โอ้ อัลลอฮ์
ได้โปรดทำให้มะดีนะฮ์มีความบะเราะกะฮ์เป็นสองเท่าของมักกะฮ์” (รายงานโดยอะนัส บิน
มาลิก บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 1885 มุสลิม 1369)
«اللَّهُمَّ بَارِكْ لَنَا في صَاعِنَا وَمُدِّنَا، وَاجْعَلْ مع
البَرَكَةِ بَرَكَتَيْنِ». [عن أبي سعيد، مسلم 1374].
ความว่า “โอ้ อัลลอฮ์ ได้โปรดให้มีความบะเราะกะฮ์ในเครื่องตวงศออฺและมุดด์ของเรา
ขอโปรดทำให้มีบะเราะกะฮ์เป็นสองเท่า” (รายงานโดยอบู สะอีด บันทึกโดยมุสลิม 1374)
كانَ
رسولُ الله صلى الله عليه وسلم إِذَا أَتَى الثَّمَرُ أُتِيَ بِهِ فَيَقُوْلُ:
«اللَّهُمَّ بَارِكْ لَنَا فِي مَدِينَتِنَا، وَفِي ثِمَارِنَا، وَفِي مُدِّنَا،
وَفِي صَاعِنَا؛ بَرَكَةً مَعَ بَرَكَةٍ» ثُمَّ يُعْطِيهِ أَصْغَرَ مَنْ
يَحْضُرُهُ مِنَ الْوِلْدَانِ. [عن أبي هريرة، رواه مسلم 1373]
ความว่า เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลไม้
ชาวมะดีนะฮ์จะเอามาให้กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แล้วท่านก็จะขอดุอาอ์ว่า
“โอ้ อัลลอฮ์ ได้โปรดประทานความบะเราะกะฮ์ให้กับเมืองของเรา ให้กับผลไม้ของเรา ให้กับเครื่องตวงมุดด์ของเรา
ให้กับเครื่องตวงศออฺของเรา ให้มีบะเราะกะฮ์เป็นเท่าของบะเราะกะฮ์” จากนั้นท่านก็จะยื่นผลไม้นั้นให้กับเด็กที่อายุน้อยที่สุดก่อน
จากจำนวนคนทั้งหมดที่มานั่งรอท่านในบริเวณนั้น (จากอบู ฮุร็อยเราะฮ์ บันทึกโดยมุสลิม
1773)
นี่เป็นการเปิดฤดูกาลเก็บเกี่ยวเพื่อแสวงหาบะเราะกะฮ์จากอัลลอฮ์
พี่น้องครับ
มีตัวอย่างของความบะเราะกะฮ์หลายอย่างที่ถูกกล่าวถึงในหะดีษของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทั้งในเรื่องหลักคำสอน และภาคปฏิบัติ เช่น
«طَعامُ الرَّجُلِ يَكْفِي رَجُلَيْنِ، وطَعامُ رَجُلَيْنِ يَكْفِي
أرْبَعَةً، وطَعامُ أرْبَعَةٍ يَكْفِي ثَمانِيَةً». [عن جابر بن عبدالله، صحيح
مسلم 2059]
ความว่า “อาหารของหนึ่งคนพอสำหรับสองคน
อาหารของสองคนพอสำหรับสี่คน อาหารของสี่คนพอสำหรับแปดคน” (จากญาบิร บิน อับดุลลอฮ์
บันทึกโดยมุสลิม 2059)
«البَرَكَةُ في نَواصِي الخَيْلِ» [عن أنس بن مالك، البخاري 2851،
مسلم 1874]
ความว่า
“ความบะเราะกะฮ์เพิ่มพูนนั้นอยู่กับกระโหลกหน้าผากของม้า” (จากอะนัส บิน มาลิก
บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 2851 และมุสลิม 1874) หะดีษนี้หมายถึง
การญิฮาดหรือต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์ ซึ่งต้องใช้การทุ่มเททั้งแรงกายและทรัพย์สิน แต่มีผลตอบแทนอันใหญ่หลวงทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์
บรรดาเศาะหาบะฮ์ในยุคท่านนบี
มีหลายคนที่ร่ำรวย และร่ำรวยเป็นพันล้านหมื่นล้านถ้าหากจะเทียบกับมูลค่าในยุคปัจจุบัน
เช่น ท่านอุษมาน บิน อัฟฟาน, อับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์, อัซ-ซุบัยร์
บิน อัล-เอาวาม ฯลฯ คนเหล่านี้เป็นเศาะหาบะฮ์ที่ไม่เคยขาดรบในสมรภูมิกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
แต่พวกเขาร่ำรวยเพราะบะเราะกะฮ์ที่พวกเขาได้ทำตามหลักศาสนาที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม
ได้สอน
ถ้าเราศึกษาประวัติผู้คนเหล่านี้จะเห็นว่า
พวกเขามีทัศนคติเกี่ยวกับบะเราะกะฮ์มากกว่าเรื่องรวยหรือไม่รวย
และด้วยความบริสุทธิ์ใจในการปฏิบัติตามหลักคำสอนศาสนาทำให้พวกเขามีบะเราะกะฮ์จนทรัพย์สินร่ำรวยโดยไม่คาดคิด
อุษมาน บิน อัฟฟาน เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ
ผู้ที่รับจัดการดูแลกองทัพที่ออกไปรบในสมรภูมิตะบูก เป็นคนที่ซื้อบ่อน้ำแล้วบริจาคให้กับชาวมะดีนะฮ์
ในขณะที่อับดุรเราะห์มาน บิน เอาฟ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮฺ
บุรุษที่โตจากเลขศูนย์จนรวยกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน
คือผู้ที่บริจาคอย่างมากมายให้กับผู้ที่เคยผ่านสงครามบะดัร รับดูแลบรรดาอุมมะฮาตุลมุอ์มินีน(บรรดาภรรยาของท่านนบี)
เป็นคนชอบบริจาคจนกระทั่งมีคำกล่าวว่า คนในเมืองมะดีนะฮ์ต่างก็เป็นผู้รับอุปการะจากอับดุรเราะห์มาน
บิน เอาฟ์ ทั้งสิ้น หนึ่งในสามเป็นคนที่ยืมเงินจากท่าน
อีกหนึ่งในสามเป็นคนที่ท่านจ่ายหนี้ให้ และหนึ่งในสามที่เหลือคือคนที่ท่านทำดีด้วยการให้เปล่า[2]
เรื่องราวแห่งความบะเราะกะฮ์ในยุคบรรพบุรุษอิสลาม
เพียงพอที่จะให้เราศึกษาเพื่อแสวงหาวิธีการที่ถูกต้องในการแสวงหาปัจจัยในยุคที่เราต่างโหยหาความมั่งคั่งอย่างไม่เคยพอ
ไม่ต้องใช้ไอดอลอายุน้อยร้อยล้าน หรือวิธีการที่หะรอมที่อัลลอฮ์ไม่พอใจและไม่เป็นบะเราะกะฮ์แก่ชีวิตมาเป็นทางลัดในการแสวงหาเงินทอง
แม้จะมากมายแค่ไหนแต่ถ้าเป็นสิ่งที่หะรอมก็ไม่มีวันได้รับบะเราะกะฮ์จากอัลลอฮ์
พี่น้องทุกท่าน
ข้อสรุปสั้นๆ
จากการรวบรวมปัจจัยแห่งบะเราะกะฮ์ในชีวิตตามหลักคำสอนอิสลาม ไม่ว่าจะเป็นจากอัลกุรอานหรือสุนนะฮ์ของท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อาจจะมีอยู่หลายประการซึ่งขอนำเสนอบางส่วนดังนี้
หนึ่ง การศรัทธา(อีมาน) การยำเกรง(ตักวา
การมอบหมาย(ตะวักกุล)
﴿وَلَوۡ أَنَّ أَهۡلَ ٱلۡقُرَىٰٓ ءَامَنُواْ وَٱتَّقَوۡاْ
لَفَتَحۡنَا عَلَيۡهِم بَرَكَٰتٖ مِّنَ ٱلسَّمَآءِ وَٱلۡأَرۡضِ وَلَٰكِن كَذَّبُواْ
فَأَخَذۡنَٰهُم بِمَا كَانُواْ يَكۡسِبُونَ 96﴾ [الأعراف: 96]
ความว่า “และหากว่าชาวเมืองนั้นได้ศรัทธาและมีความยำเกรงแล้วไซร้
แน่นอนเราก็จะเปิดความบะเราะกะฮ์จากฟากฟ้าและแผ่นดินให้แก่พวกเขาแล้ว แต่ทว่าพวกเขาปฏิเสธ
ดังนั้นเราจึงได้ลงโทษพวกเขา เนื่องด้วยสิ่งที่พวกเขาขวนขวายไว้” (อัล-อะอฺรอฟ 96)
﴿وَمَن يَتَّقِ ٱللَّهَ يَجۡعَل لَّهُۥ مَخۡرَجٗا
2 وَيَرۡزُقۡهُ مِنۡ حَيۡثُ لَا يَحۡتَسِبُۚ وَمَن يَتَوَكَّلۡ عَلَى ٱللَّهِ فَهُوَ
حَسۡبُهُۥٓۚ﴾ [الطلاق: 2، 3]
ความว่า “และผู้ใดยำเกรงอัลลอฮ์
พระองค์ก็จะทรงหาทางออกให้แก่เขา และจะทรงประทานปัจจัยยังชีพแก่เขาจากสิ่งที่เขามิได้คาดคิด
และผู้ใดมอบหมายแด่อัลลอฮ์ พระองค์ก็จะทรงเป็นผู้ช่วยเหลืออย่างพอเพียงแก่เขาแล้ว”
(อัฏ-เฏาะลาก 2-3)
สอง การให้ความสำคัญกับอัลกุรอาน
ทั้งด้วยการเรียนและปฏิบัติตามคำสอนของอัลกุรอาน เพราะอัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่เปี่ยมด้วยบะเราะกะฮ์
ค่ำคืนที่มันถูกประทานลงมาก็เต็มเปี่ยมด้วยบะเราะกะฮ์ บ้านที่อ่านอัลกุรอานจะมีมลาอิกะฮ์มาและจะขับไล่ชัยฏอนออกไป
﴿ وَهَٰذَا كِتَٰبٌ أَنزَلۡنَٰهُ مُبَارَكٞ فَٱتَّبِعُوهُ
وَٱتَّقُواْ لَعَلَّكُمۡ تُرۡحَمُونَ 155 ﴾ [الأنعام: 155]
ความว่า “และนี่แหละคือคัมภีร์ที่มีความบะเราะกะฮ์/จำเริญซึ่งเราได้ประทานให้มันลงมายังเจ้า
จงปฏิบัติตามคัมภีร์นั้นเถิด และจงยำเกรง เพื่อว่าพวกเจ้าจะได้รับความกรุณาเมตตา” (อัล-อันอาม
155)
สาม การให้ความสำคัญกับการละหมาด ทั้งของตัวเองและสมาชิกในครอบครัว
﴿وَأۡمُرۡ أَهۡلَكَ بِٱلصَّلَوٰةِ وَٱصۡطَبِرۡ
عَلَيۡهَاۖ لَا نَسَۡٔلُكَ رِزۡقٗاۖ نَّحۡنُ نَرۡزُقُكَۗ وَٱلۡعَٰقِبَةُ لِلتَّقۡوَىٰ
132﴾ [طه: 132]
ความว่า “และเจ้าจงสั่งใช้ให้ครอบครัวของเจ้าทำการละหมาด
และจงอดทนในการปฏิบัติ เรามิได้ขอเครื่องยังชีพจากเจ้า
เราต่างหากเป็นผู้ให้เครื่องยังชีพแก่เจ้า และบั้นปลายที่ดีนั้นเตรียมไว้สำหรับผู้ที่มีความยำแกรง”
(ฏอฮา 132)
อิบนุ กะษีร ได้อธิบายอายะฮ์นี้ว่า ถ้าท่านรักษาการละหมาดอย่างดี
ริซกีก็จะมาหาท่านโดยที่ท่านไม่อาจคาดคิด[3]
สี่ การบริจาคทานให้มาก และหลีกห่างจากดอกเบี้ย
﴿ يَمۡحَقُ ٱللَّهُ ٱلرِّبَوٰاْ وَيُرۡبِي ٱلصَّدَقَٰتِۗ
وَٱللَّهُ لَا يُحِبُّ كُلَّ كَفَّارٍ أَثِيمٍ 276 ﴾ [البقرة: 276]
ความว่า “อัลลอฮ์จะทรงให้ดอกเบี้ยลดน้อยลงและหมดความจำเริญ
และจะทรงให้ทำการบริจาคทานเพิ่มพูนขึ้น และอัลลอฮ์นั้นไม่ทรงชอบผู้เนรคุณ
ผู้กระทำบาปทุกคน” (อัล-บะเกาะเราะฮ์ 276)
«مَن
تَصَدَّقَ بعَدْلِ تَمْرَةٍ مِن كَسْبٍ طَيِّبٍ، ولَا يَقْبَلُ اللَّهُ إلَّا
الطَّيِّبَ، وإنَّ اللَّهَ يَتَقَبَّلُهَا بِيَمِيْنِهِ، ثُمَّ يُرَبِّيهَا
لِصَاحِبِهِ، كما يُرَبِّي أَحَدُكُمْ فَلُوَّهُ، حتَّى تَكُونَ مِثْلَ الجَبَلِ» [عن
أبي هريرة، البخاري 1410]
ความว่า “ใครก็ตามที่บริจาคเท่ากับอินทผลัมหนึ่งเม็ดจากทรัพย์สินที่ดี
และอัลลอฮ์จะไม่ทรงรับนอกจากของที่ดีเท่านั้น แท้จริงพระองค์จะทรงรับมันด้วยมือขวาของพระองค์
แล้วจะทรงดูแลให้มันเติบโต เหมือนที่พวกท่านดูแลเอาใจใส่ลูกม้าของตัวเอง จนกระทั่งการบริจาคที่พระองค์ดูแลนั้นใหญ่โตเท่ากับภูเขา”
(จากอบู ฮุร็อยเราะฮ์ บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 1410)
ห้า การเชื่อมสัมพันธ์กับเครือญาติ
«مَنْ أحَبَّ أنْ يُبْسَطَ لَهُ فِي رِزْقِهِ، ويُنْسَأَ لَهُ فِي
أَثَرِهِ، فَلْيَصِلْ رَحِمَهُ» [عن أنس بن مالك، البخاري 5986، مسلم 2557]
ความว่า “ใครที่ปรารถนาอยากให้ริซกีของเขากว้างขวาง
และมีอายุยืนยาว ก็ให้เขาเชื่อมสัมพันธ์กับเครือญาติของเขา” (จากอะนัส บิน มาลิก
บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 5986, มุสลิม 2557)
หก การขอบคุณอัลลอฮ์อย่างสม่ำเสมอ
﴿ وَإِذۡ تَأَذَّنَ رَبُّكُمۡ لَئِن شَكَرۡتُمۡ
لَأَزِيدَنَّكُمۡۖ وَلَئِن كَفَرۡتُمۡ إِنَّ عَذَابِي لَشَدِيدٞ 7 ﴾ [إبراهيم: 7]
ความว่า “และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของพวกเจ้าได้ประกาศว่า
หากพวกเจ้าขอบคุณ ข้าก็จะเพิ่มพูนให้แก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้าเนรคุณ
แท้จริงการลงโทษของข้านั้นสาหัสยิ่ง” (อิบรอฮีม 7)
เจ็ด การอิสติฆฟาร/ขออภัยโทษให้มาก
﴿فَقُلۡتُ ٱسۡتَغۡفِرُواْ رَبَّكُمۡ إِنَّهُۥ
كَانَ غَفَّارٗا 10 يُرۡسِلِ ٱلسَّمَآءَ عَلَيۡكُم مِّدۡرَارٗا 11 وَيُمۡدِدۡكُم بِأَمۡوَٰلٖ
وَبَنِينَ وَيَجۡعَل لَّكُمۡ جَنَّٰتٖ وَيَجۡعَل لَّكُمۡ أَنۡهَٰرٗا 12﴾ [نوح: 10، 12]
ความว่า “ฉัน(นูห์)ได้พูดว่า พวกท่านจงอิสติฆฟารขออภัยโทษต่อพระเจ้าของพวกท่านเถิด
แท้จริงพระองค์ทรงเป็นผู้ที่อภัยยิ่ง พระองค์จะทรงหลั่งน้ำฝนอย่างมากมายแก่พวกท่าน
และพระองค์จะทรงเพิ่มพูนทรัพย์สินและลูกหลานแก่พวกท่าน และจะทรงทำให้มีสวนมากมายแก่พวกท่าน
และจะทรงทำให้มีลำน้ำมากมายแก่พวกท่าน” (นูห์ 10-12)
﴿وَأَنِ ٱسۡتَغۡفِرُواْ رَبَّكُمۡ ثُمَّ تُوبُوٓاْ
إِلَيۡهِ يُمَتِّعۡكُم مَّتَٰعًا حَسَنًا إِلَىٰٓ أَجَلٖ مُّسَمّٗى وَيُؤۡتِ كُلَّ
ذِي فَضۡلٖ فَضۡلَهُۥۖ﴾
[هود: 3]
ความว่า “และพวกท่านจงอิสติฆฟาร/ขออภัยโทษจากพระเจ้าของพวกท่าน แล้วจงกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์ พระองค์จะทรงให้ปัจจัยแก่พวกท่านจนถึงวาระที่กำหนดไว้ และพระองค์จะทรงประทานผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ทำความดีทุกคน” (ฮูด 3)
[1] (ดูเพิ่มเติมที่ bit.ly/3J3n65c)
[2] كان أهلُ المدينة عيالًا على عبدالرحمن بن عوف، ثُلُث يُقرِضهم ماله، وثُلُث يقضي دَينهم وثُلُث يصِلهم بماله. ดูใน สิยัร อะอฺลาม อัน-นุบะลาอ์ t.ly/NLQvk
[3] يقول ابن كثير: يعني
إذا أقمت الصلاة أتاك الرزق من حيث لا تحتسب. t.ly/JO83c
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
- สงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นใดๆ ก็ตามที่พิจารณาว่าไม่เหมาะควร -
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น