วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568

บุตรหลานที่ดี - ซุฟอัม อุษมาน

 


พี่น้องมุสลิมผู้ศรัทธาทั้งหลาย 

พึงทราบเถิดว่า การมีบุตรหลานที่ดีเป็นหนึ่งในบรรดาความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ที่อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ประทานแก่ปวงบ่าวของพระองค์ ด้วยความดีงามของพวกเขา บิดามารดาย่อมได้รับการตอบแทนด้วยความกตัญญู การเชื่อฟัง ความดี และประโยชน์ทั้งในโลกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ทุกความดีงามที่บิดามารดาได้อบรมสั่งสอนแก่บุตรหลาน จะถูกบันทึกไว้ในตาชั่งแห่งความดีของพวกเขาทั้งหลายในวันกิยามะฮ์ เพราะแท้จริงแล้ว บุตรนั้นคือผลแห่งการแสวงหาและความพยายามของบิดามารดา ดังที่อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ว่า: 

﴿ وَأَن لَّيۡسَ لِلۡإِنسَٰنِ إِلَّا مَا سَعَىٰ 39 وَأَنَّ سَعۡيَهُۥ سَوۡفَ يُرَىٰ 40 ثُمَّ يُجۡزَىٰهُ ٱلۡجَزَآءَ ٱلۡأَوۡفَىٰ 41 ﴾ [النجم: 39،  41]  

ความว่า “และมนุษย์ย่อมมิได้รับสิ่งใด นอกจากสิ่งที่เขาได้ขวนขวายไว้ และแท้จริง การขวนขวายของเขานั้น จะถูกเปิดเผยให้เห็น  แล้วเขาจะได้รับการตอบแทนอย่างครบถ้วน” [อัน-นัจญม์: 39-41] 

ดังนั้น ทุกการสุญูด ทุกตัวอักษรที่บุตรหลานอ่าน ทุกการตัสบีฮ์ที่พวกเขากล่าว และทุกความดีที่พวกเขากระทำ ย่อมมีส่วนแบ่งแก่บิดามารดา และเมื่อบิดามารดาได้เสียชีวิตไปแล้ว ประโยชน์จากบุตรหลานยังคงสืบเนื่องไปถึงพวกเขา  ดังหะดีษเศาะฮีฮ์ที่รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: 

ففي صحيح مسلم عن أبي هريرة رضي الله عنه، أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: «إذا مات ابنُ آدمَ، انقطع عنه عمله إلا من ثلاث: صدقةٍ جارية، أو علمٍ ينتفع به، أو ولدٍ صالح يدعو له».

ความว่า “เมื่อลูกหลานอาดัมเสียชีวิตลง การงานของเขาย่อมขาดสะบั้น เว้นแต่สามประการ คือ เศาะดาเกาะฮ์ญารียะฮ์ หรือความรู้ที่ยังประโยชน์ หรือบุตรดีที่ขอดุอาอ์ให้แก่เขา” 

และในหะดีษเศาะฮีฮ์อีกบทหนึ่งกล่าวว่า: 

وفي الحديث الصحيح: «إن مما يلحق المؤمن من عمله وحسناته بعد موته... وذكر منها: وولدًا صالحًا تركه».

ความว่า “แท้จริง สิ่งที่จะติดตามผู้ศรัทธาไปจากผลงานและความดีของเขาภายหลังจากความตายของเขา...” และได้กล่าวถึง “...และบุตรที่ดีที่เขาเหลือไว้เป็นทายาท”  

ยิ่งไปกว่านั้น บิดามารดายังจะได้รับประโยชน์และเก็บเกี่ยวผลแห่งความดีงามของบุตรหลานแม้ในสรวงสวรรค์ ดังหะดีษที่รายงานจากท่านอบูฮุรอยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: 

فعن أبي هريرة رضي الله عنه، أن النبي صلى الله عليه وسلم قال: «إن الرجل لَتُرْفَعُ درجته في الجنة، فيقول: يا رب: أنَّى لي هذه؟! فيقول: باستغفار ولدك لك»؛ [رواه ابن ماجه، وصححه الألباني في صحيح الجامع].

ความว่า “แท้จริง ระดับชั้นของชายคนหนึ่งจะถูกยกสูงขึ้นในสวรรค์ เขาจึงกล่าวว่า: โอ้พระเจ้าของข้า! สิ่งนี้มาจากไหนแก่ข้า? พระองค์ตรัสตอบว่า: ด้วยการขออภัยโทษของบุตรเจ้าให้แก่เจ้า” [รายงานโดยอิบนุมาญะฮ์ และอัล-อัลบานีได้ให้เศาะฮีฮ์ไว้ในเศาะฮีฮ์ อัล-ญามิอ์]


ดังนั้น พี่น้องผู้เป็นบิดามารดาและผู้ปกครองทั้งหลาย 

พึงทราบเถิดว่า การอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานและการเอาใจใส่พวกเขาในยุคสมัยนี้ เป็นเรื่องที่ยากลำบากและท้าทายยิ่งนัก แต่จะไม่เกินความสามารถสำหรับผู้ที่ตระหนักถึงผลตอบแทนและรางวัลอันยิ่งใหญ่ และสำหรับผู้ที่อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงทำให้ง่ายสำหรับเขา และพึงทราบอีกว่า การชี้นำ(ฮิดายะฮ์)และการอำนวยความสำเร็จ(เตาฟีก)นั้นอยู่ในพระหัตถ์ของอัลลอฮ์แต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่เราต้องกระทำคือการพยายามอย่างสุดความสามารถด้วยวิธีการที่ชอบธรรมเท่านั้น บิดามารดาพึงตระหนักว่า ความยากลำบากในการอบรมเลี้ยงดูนั้นถือเป็นการญิฮาดและเป็นการภักดีต่ออัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ความเหนื่อยยากและความลำบากที่พวกเขาเผชิญในการเลี้ยงดูจะไม่สูญเปล่า ณ ที่อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ดังคำกล่าวของบรรดาสะละฟุศเศาะลิฮ์บางท่านว่า: 

ولهذا جاء عن بعض السلف: "إن من الذنوب ما لا يكفِّره إلا همُّ الأولاد".

"แท้จริง มีบางความผิดที่จะไม่ได้รับการลบล้าง เว้นแต่ด้วยความกังวลอันเนื่องมาจากบุตรหลาน"  

ดังนั้น เมื่อบุคคลหนึ่งตระหนักถึงสิ่งนี้ เรื่องราวต่างๆ ก็จะง่ายดายสำหรับเขา และเขาจะรู้ว่าเขากำลังอยู่ในอิบาดะฮ์ที่จะได้รับรางวัล เช่นเดียวกับการอิบาดะฮ์อื่น ๆ  


พี่น้องครับ

ต่อไปนี้ ขอนำเสนอแนวทางบางประการที่จะช่วยในการดูแลอบรมลูกหลานให้เป็นคนดี หวังว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นสาเหตุและเป็นความช่วยเหลือ – หลังจากการอนุมัติจากอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา – ในการชี้นำและให้เกิดความดีงามแก่บุตรหลานของเรา:


หนึ่ง การยึดมั่นในแนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในการปฏิบัติต่อบุตรหลาน 

เพราะความดีงามทั้งมวลอยู่ในการปฏิบัติตามแนวทางของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แนวทางของท่านคือแนวทางที่ดีที่สุด และซุนนะฮ์ของท่านคือซุนนะฮ์ที่ประเสริฐที่สุด การปฏิบัติของท่านนั้นตั้งอยู่บนความเมตตาและความเอ็นดู ท่านได้แสดงออกถึงสิ่งนั้นด้วยคำพูดและการกระทำของท่าน ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม อาทิ 

1. การให้ความสำคัญกับการปลูกฝังหลักเตาฮีดในหัวใจของพวกเขา และการอบรมพวกเขาบนอะกีดะฮ์ที่ถูกต้อง และการสอนเรื่องราวศาสนาของพวกเขาตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญที่สุดในการดูแลบุตรหลานให้เป็นคนดี ดังหะดีษจากท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า: 

فعن ابن عباس رضي الله عنهما قال: كنت خلف النبي صلى الله عليه وسلم يومًا فقال: «يا غلامُ، إني أعلِّمك كلماتٍ: احفظِ الله يحفظْكَ، احفظِ الله تجدْهُ تجاهك، إذا سألتَ فاسأل الله، وإذا استعنتَ فاستعن بالله، واعلم أن الأمةَ لو اجتمعت على أن ينفعوك بشيء، لم ينفعوك إلا بشيء قد كتبه الله لك، وإن اجتمعوا على أن يضروك بشيء، لم يضروك إلا بشيء قد كتبه الله عليك، رُفِعَتِ الأقلام، وجفَّت الصحف»؛ [رواه الترمذي، وقال: حديث حسن صحيح].

ความว่า "วันหนึ่ง ขณะที่ฉันอยู่ด้านหลังท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ท่านได้กล่าวว่า: โอ้เด็กเอ๋ย! แท้จริง ข้าพเจ้าจะสอนเจ้าด้วยถ้อยคำต่างๆ จงรักษาอัลลอฮ์ พระองค์จะทรงรักษาเจ้า จงรักษาอัลลอฮ์ เจ้าจะพบพระองค์อยู่เบื้องหน้าเจ้า เมื่อเจ้าขอ จงขอต่ออัลลอฮ์ และเมื่อเจ้าขอความช่วยเหลือ จงขอความช่วยเหลือต่ออัลลอฮ์ และจงรู้เถิดว่า หากประชาชาติทั้งมวลรวมตัวกันเพื่อจะให้ประโยชน์แก่เจ้าด้วยสิ่งใด พวกเขาก็จะไม่สามารถให้ประโยชน์แก่เจ้าได้ เว้นแต่ด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับเจ้าแล้ว และหากพวกเขารวมตัวกันเพื่อจะให้โทษแก่เจ้าด้วยสิ่งใด พวกเขาก็จะไม่สามารถให้โทษแก่เจ้าได้ เว้นแต่ด้วยสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดไว้สำหรับเจ้าแล้ว ปากกาได้ถูกยกขึ้นแล้ว และแผ่นบันทึกได้แห้งแล้ว" [รายงานโดยอัต-ติรมีซี และกล่าวว่าเป็นหะดีษหะซัน เศาะฮีฮ์] 


2. การแสดงความรักต่อพวกเขา การจูบพวกเขา และการเอาใจใส่พวกเขา ดังหะดีษเศาะฮีฮ์ที่รายงานจากท่านอบู ฮุรอยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: 

ففي الصحيحين عن أبي هريرة رضي الله عنه، قال: خرج النبي صلى الله عليه وسلم في طائفة النهار، لا يكلِّمني ولا أكلِّمه، حتى أتى سوق بني قَيْنُقاعَ، فجلس بفناء بيت فاطمةَ، فقال: أثَمَّ لُكَعُ، أثَمَّ لُكَعُ؛ يعني: الحسن، فجاء يشتد حتى عانقه وقبَّله، وقال: «اللهم إني أُحِبُّه، فأَحِبَّه، وأَحْبِبْ مَن يُحِبُّه».

ความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ออกมาในช่วงเวลากลางวัน โดยที่ข้าพเจ้ามิได้พูดคุยกับท่าน และท่านก็มิได้พูดคุยกับข้าพเจ้า จนกระทั่งท่านมาถึงตลาดบะนี ก็อยนุกออ์ แล้วท่านก็นั่งลง ณ บริเวณหน้าบ้านของฟาฏิมะฮ์ แล้วกล่าวว่า: มี 'ลุกะอฺ' อยู่ที่นี่หรือไม่? มี 'ลุกะอฺ' อยู่ที่นี่หรือไม่? (หมายถึง: อัล-หะสัน หลานของท่าน) แล้วเขาก็วิ่งมาอย่างรวดเร็วจนกระทั่งท่านได้โอบกอดและจูบเขา แล้วกล่าวว่า: โอ้ อัลลอฮ์! แท้จริง ข้าพระองค์รักเขา ขอพระองค์ทรงรักเขา และทรงรักผู้ที่รักเขาด้วยเถิด” 


และในหะดีษเศาะฮีฮ์ที่รายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา กล่าวว่า:

وفي الصحيحين عن عائشة رضي الله عنها قالت: قدِمَ ناسٌ من الأعراب على رسول الله صلى الله عليه وسلم، فقالوا: أتقبِّلون صبيانكم؟ فقال: نعم، قالوا: لكنا والله ما نُقَبِّل، فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم: «أو أمْلِكُ إن كان الله نزع من قلوبكم الرحمة».

ความว่า มีชาวอาหรับชนบทกลุ่มหนึ่งมาหาท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม พวกเขากล่าวว่า: ท่านจูบเด็กๆ ของพวกท่านหรือ? ท่านกล่าวว่า: ใช่ พวกเขากล่าวว่า: แต่ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ พวกเรามิได้จูบ ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: ฉันจะสามารถบังคับได้หรือ หากอัลลอฮ์จะทรงถอนความเมตตาออกจากหัวใจของพวกท่านไปแล้ว”


และในหะดีษเศาะฮีฮ์ที่รายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ว่า: 

وفي الصحيحين عن أبي هريرة رضي الله عنه: أن الأقرع بن حابس أبْصَرَ النبي صلى الله عليه وسلم يُقبِّل الحسن، فقال: إن لي عشرةً من الولد ما قَبَّلتُ واحدًا منهم، فقال رسول الله صلى الله عليه وسلم: «إنه مَن لا يَرْحَم لا يُرْحَم».

อัล-อักเราะอฺ บิน หาบิส ได้เห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังจูบอัล-หะสัน แล้วเขากล่าวว่า: แท้จริง ข้าพเจ้ามีบุตรสิบคน ข้าพเจ้ามิได้จูบคนใดคนหนึ่งเลย ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “แท้จริง ผู้ใดไม่เมตตา ผู้นั้นย่อมไม่ได้รับการเมตตา” 


3. การให้สลามแก่พวกเขา การหยอกล้อพวกเขา และการนำความสุขมาสู่พวกเขา 

จากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: 

عن أنس رضي الله عنه قال: أتى رسول الله صلى الله عليه وسلم على غلمانٍ يلعبون، فسلَّم عليهم [رواه أبو داود، باب السلام على الصبيان].

ความว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้เดินผ่านเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ แล้วท่านก็ได้ให้สลามแก่พวกเขา [รายงานโดยอบูดาวูด บทว่าด้วยการให้สลามแก่เด็กๆ] 


และในหะดีษเศาะฮีฮ์ที่รายงานจากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: 

وفي الصحيحين عن أنس رضي الله عنه، قال: كان النبي صلى الله عليه وسلم أحسن الناس خُلُقًا، وكان لي أخٌ يُقال له أبو عُمَيرٍ، وكان إذا جاء قال: يا أبا عمير، ما فعل النُّغَير؟ قال أنس: ما رأيت أحدًا كان أرحمَ بالعيال من رسول الله صلى الله عليه وسلم، ومن رحمته صلى الله عليه وسلم بالصغار، أنه كان يزور الأنصار، ويسلِّم على صبيانهم، ويمسح رؤوسهم، ويدعو لهم بالرزق والبركة.

ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ทรงเป็นผู้ที่มีคุณธรรมดีที่สุด และข้าพเจ้ามีน้องชายคนหนึ่งชื่ออบูอุไมร์ เมื่อท่านมา ท่านก็จะกล่าวว่า: “โอ้ อบูอุไมร์! นกน้อยของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” ท่านอะนัสกล่าวว่า: ฉันไม่เคยเห็นใครเมตตาต่อเด็กๆ มากกว่าท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม 

และจากความเมตตาของท่านต่อเด็กเล็ก ท่านยังได้ไปเยี่ยมชาวอันศอร และให้สลามแก่เด็กๆ ของพวกเขา ลูบศีรษะพวกเขา และขอดุอาอ์ให้พวกเขาได้รับริซกีและความบะเราะกะฮ์ 


4. มีความซื่อสัตย์และจริงใจในการปฏิบัติต่อพวกเขา ดังหะดีษในสุนันอบูดาวูด จากท่านอับดุลลอฮ์ บิน อามิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: 

ففي سنن أبي داود عن عبدالله بن عامر رضي الله عنه قال: دَعَتْني أمي يومًا ورسول الله صلى الله عليه وسلم قاعد في بيتنا، فقالت: ها تعالَ أُعطيك، فقال لها رسول الله صلى الله عليه وسلم: وما أردتِ أن تُعطيَه؟ قالت: أعطيه تمرًا، فقال لها النبي صلى الله عليه وسلم: «أَمَا إنكِ لو لم تُعْطيه شيئًا، كُتِبت عليكِ كذبة».

วันหนึ่ง แม่ของฉันได้เรียกฉัน ขณะที่ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กำลังนั่งอยู่ในบ้านของเรา นางกล่าวว่า: มานี่สิ ข้าจะให้เจ้า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ถามนางว่า: “เธอตั้งใจจะให้อะไรแก่เขา?” นางกล่าวว่า: ข้าจะให้ลูกอินทผลัม ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงพูดกับนางว่า: “พึงทราบเถิดว่า หากเธอเรียกแต่มิได้ตั้งใจจะให้สิ่งใดแก่เขา ก็จะถูกบันทึกว่าเธอโกหกแล้วหนึ่งครั้ง” 


5. การสอนพวกเขาให้บริโภคสิ่งที่อนุมัติ (หะลาล) และหลีกห่างจากสิ่งที่ต้องห้าม (หะรอม) ดังหะดีษเศาะฮีฮ์ที่รายงานจากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: 

ففي الصحيحين عن أبي هريرة رضي الله عنه قال: أخَذَ الحسنُ بنُ علي رضي الله عنهما تمرةً من تَمْرِ الصدقة، فجعلها في فِيهِ، فقال النبي صلى الله عليه وسلم: كِخْ كِخْ؛ ليطرحها، ثم قال: «أما شَعَرْتَ أنَّا لا نأكل الصدقة».

อัล-หะสัน บิน อะลี เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้หยิบอินทผลัมจากส่วนที่เป็นเศาะดาเกาะฮ์ แล้วนำไปใส่ในปากของเขา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า: กิค์ กิค์ (เพื่อที่จะให้เขาคายมันออก) แล้วท่านก็กล่าวว่า: “เจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่บริโภคเศาะดาเกาะฮ์” 


6. ต้องมีความยุติธรรมระหว่างบุตรหลาน เพราะเป็นสาเหตุแห่งความดีงามของหัวใจพวกเขา และเป็นการปลูกฝังความรักใคร่ระหว่างพวกเขา ดังหะดีษเศาะฮีฮ์ในบันทึกของมุสลิม จากท่านนุอ์มาน บิน บะชีร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: 

ففي صحيح مسلم عن النعمان بن بشير رضي الله عنهما قال: انطلق بي أبي يحملني إلى رسول الله صلى الله عليه وسلم فقال: يا رسول الله، اشْهَدْ أني قد نَحَلْتُ النعمانَ كذا وكذا من مالي، فقال: «أكُلَّ بنيك قد نحلتَ مثلَ ما نحلت النعمان؟» قال: لا، قال: «فأشْهِدْ على هذا غيري»، ثم قال: «أيسُرُّك أن يكونوا إليك في البر سواءً؟» قال: بلى، قال: «فلا إذًا».

บิดาของฉันได้พาฉันไปหาท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วกล่าวว่า: โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์! ขอให้ท่านเป็นพยานว่าแท้จริงฉันได้ให้แก่นุอ์มานเท่านั้นเท่านี้จากทรัพย์สินของฉัน ท่านนบีกล่าวว่า: “ท่านได้ให้แก่บุตรทุกคนของท่านเช่นเดียวกับที่ท่านได้ให้แก่นุอ์มานหรือไม่?” เขากล่าวว่า: เปล่า ท่านนบีกล่าวว่า: “ถ้าเช่นนั้น จงให้ผู้อื่นเป็นพยานในเรื่องนี้เถิด” แล้วท่านนบีก็กล่าวว่า: “ท่านปรารถนาหรือไม่ว่าพวกเขาจะมีความกตัญญูต่อท่านอย่างเท่าเทียมกัน?” เขากล่าวว่า: ปรารถนา ท่านกล่าวว่า: “ถ้าเช่นนั้นก็อย่า (ทำเช่นนั้น)” 

และในอีกรายงานหนึ่งกล่าวว่า: 

وفي رواية قال: «اتقوا الله واعدلوا في أولادكم»، وفي لفظ: «فلا تُشْهِدْني إذًا؛ فإني لا أشهد على جَورٍ».

“พวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮ์ และจงยุติธรรมในหมู่บุตรหลานของพวกท่าน” และในอีกสำนวนหนึ่ง: “ถ้าเช่นนั้น ท่านจงอย่าให้ฉันเป็นพยาน เพราะแท้จริงฉันจะไม่เป็นพยานในความอยุติธรรม” 


และจากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า: 

وعن أنس رضي الله عنه، قال: كان رجل جالس مع النبي صلى الله عليه وسلم، فجاءه ابنٌ له فأخذه فقبَّله، ثم أجلسه في حجره، وجاءت ابنة له، فأخذها إلى جنبه، فقال النبي صلى الله عليه وسلم: «أَلَا عدلتَ بينهما؛ يعني في تقبيلهما»؛ [رواه البزار، وصححه الألباني في السلسلة الصحيحة].

มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่กับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วบุตรชายของเขาก็มาหา เขาจึงอุ้มบุตรชายจูบ แล้วให้นั่งบนตักของเขา แล้วบุตรสาวของเขาก็มาหา เขาจึงจับนางไปนั่งข้างๆ เขา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: “ท่านมิได้ยุติธรรมระหว่างพวกเขาทั้งสองหรือ? (หมายถึงในการจูบพวกเขา)” [รายงานโดยอัล-บัซซาร และอัล-อัลบานีได้ให้เศาะฮีฮ์ไว้ในอัส-สิลสิละฮ์ อัศ-เศาะฮีฮะฮ์] 


7. การแก้ไขข้อผิดพลาดด้วยความอ่อนโยน ความนุ่มนวล และความเมตตา โดยปราศจากการดูถูก การตำหนิ การว่ากล่าว หรือการประณาม ดังหะดีษเศาะฮีฮ์ที่รายงานจากท่านอุมัร บิน อะบี สะละมะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า:

ففي الصحيحين عن عمر بن أبي سلمة رضي الله عنه، قال: كنت غلامًا في حِجْرِ رسول الله صلى الله عليه وسلم، وكانت يدي تَطِيش في الصَّحْفَةِ، فقال لي رسول الله صلى الله عليه وسلم: «يا غلامُ، سَمِّ الله، وكُلْ بيمينك، وكُلْ مما يليك»، قال: فما زالت تلك طعمتي بعدُ.

ฉันเป็นเด็กอยู่ในความอุปถัมภ์ของท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และมือของข้าพเจ้ามักจะปัดป่ายไปทั่วจาน ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า: “โอ้เด็กเอ๋ย! จงกล่าวพระนามของอัลลอฮ์ และจงกินด้วยมือขวาของเจ้า และจงกินสิ่งที่อยู่ใกล้เจ้า” เขากล่าวว่า: หลังจากนั้น การกินของฉันก็เป็นเช่นนั้นเสมอมา


และในหะดีษเศาะฮีฮ์ที่รายงานจากท่านหญิงอุมมุ ก็อยส์ บินติ มิห์ศ็อน อัล-อะซะดียะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์: 

وفي الصحيحين عن أم قيس بنت مِحصَن الأسدية رضي الله عنها: أنها أتَتْ بابنٍ لها صغير، لم يأكل الطعام إلى رسول الله صلى الله عليه وسلم، فأجْلَسَه في حِجْرِه، فبَالَ على ثوبه، فدعا بماء فنضحه على ثوبه، ولم يغسله.

นางได้นำบุตรชายคนเล็กของนาง ซึ่งยังกินอาหารไม่ได้ มาหาท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วนางก็ให้นั่งบนตักของท่าน แล้วเด็กชายนั้นก็ได้ปัสสาวะรดเสื้อผ้าของท่าน ท่านจึงขอน้ำมาประพรมบนเสื้อผ้าของท่าน โดยที่มิได้ซัก 


และในเศาะฮีฮ์ มุสลิม จากท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ กล่าวว่า:

وفي صحيح مسلم عن أنس رضي الله عنه قال: كان رسول الله صلى الله عليه وسلم من أحسن الناس خُلُقًا، فأرسلني يومًا لحاجة، فقلت: والله لا أذهب، وفي نفسي أن أذهب لما أمرني به نبي الله صلى الله عليه وسلم، فخرجت حتى أمرَّ على صبيان وهم يلعبون في السوق، فإذا رسول الله صلى الله عليه وسلم قد قبض بقفاي من ورائي، قال: فنظرت إليه وهو يضحك، فقال: يا أُنَيْسُ، أذهبتَ حيث أمرتُك؟ قال: قلت: نعم، أنا أذهب، يا رسول الله.

ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นผู้ที่มีมารยาทงดงามที่สุด วันหนึ่ง ท่านได้ส่งฉันไปทำธุระ ฉันพูดว่า: ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ ฉันจะไม่ไป แต่ในใจของฉันตั้งใจที่จะไปตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่ง แล้วฉันก็ออกไป จนกระทั่งเดินผ่านเด็กๆ ที่กำลังเล่นกันอยู่ในตลาด แล้วท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ได้จับที่ท้ายทอยของฉันจากด้านหลัง ฉันจึงมองไปที่ท่าน ท่านกำลังหัวเราะ แล้วกล่าวว่า: “โอ้ อุนัยส์! เจ้าได้ไปทำในที่ที่ฉันสั่งเจ้าแล้วหรือ?” อะนัสกล่าวว่า: ครับ ฉันกำลังจะไปแล้ว โอ้ ท่านรอซูลุลลอฮ์!

ยิ่งไปกว่านั้น แม้กระทั่งในการละหมาด ท่าน ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ยังทรงอดทนต่อการเล่นและการหยอกล้อของเด็กๆ โดยคำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขา

فقد روى الإمام أحمد والنسائي عن عبدالله بن شداد، عن أبيه رضي الله عنه، قال: خرج النبي صلى الله عليه وسلم إلى الصلاة، وهو يحمل الحسن أو الحسين، فلما صلى أطال في إحدى سجداته، فلما قضى صلاته، قال الناس: يا رسول الله، إنك سجدت بين ظهراني صلاتك هذه سجدةً قد أطَلْتُها، فظننَّا أنه قد حدث أمر، أو أنه يُوحى إليك، قال صلى الله عليه وسلم: «كل ذلك لم يكن، ولكن ابني ارتحلني، فكرِهت أن أُعْجِلَه حتى يقضيَ حاجته».

อิมามอะห์มัดและอัน-นะสาอีย์ได้รายงานจากอับดุลลอฮ์ บิน ชัดด๊าด จากพ่อของเขา เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ว่า: ครั้งหนึ่งท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ออกไปละหมาดโดยแบกอัล-หะซันหรืออัล-หุเซนไปด้วย เมื่อท่านละหมาด ท่านได้ยืดระยะเวลาของการสุญูดในช่วงหนึ่ง หลังจากที่เขาละหมาดเสร็จ ผู้คนได้ถามท่านว่า: โอ้รอซูลุลลอฮ์ ท่านได้สุญูดเป็นเวลานานกว่าปกติระหว่างละหมาดของท่าน พวกเราคิดว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นหรือมีวิวรณ์มาถึงท่านหรือไม่? ท่านนบีตอบว่า: “ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ลูกชายของฉันปีนขึ้นมาหาฉัน และฉันไม่อยากเร่งเขาลงจนกว่าเขาจะพอใจ" 


สอง การมีคุณธรรมและตัวอย่างที่ดีของบิดามารดา

แท้จริง การมีคุณธรรมอันดีงามของพ่อแม่นั้น ด้วยการอนุมัติของอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา เป็นอีกสาเหตุแห่งความดีงามของบุตรหลานของพวกเขา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลบุตรหลานที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา หรือครู จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีงามในตนเอง เขาจะหวังได้อย่างไรที่จะได้รับการเชื่อฟังและให้คำแนะนำของเขามีผล หากการกระทำของเขาขัดแย้งกับคำพูดของตัวเอง อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า: 

﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ لِمَ تَقُولُونَ مَا لَا تَفۡعَلُونَ 2 كَبُرَ مَقۡتًا عِندَ ٱللَّهِ أَن تَقُولُواْ مَا لَا تَفۡعَلُونَ 3 ﴾ [الصف: 2،  3]  

ความว่า “โอ้บรรดาผู้ศรัทธาเอ๋ย! ทำไมพวกเจ้าจึงกล่าวในสิ่งที่พวกเจ้ามิได้กระทำกันเล่า เป็นที่น่ารังเกียจยิ่ง ณ ที่อัลลอฮ์ ที่พวกเจ้ากล่าวในสิ่งที่พวกเจ้ามิได้กระทำ” [อัศ-ศ็อฟฟ์: 2-3]

แท้จริง บุตรหลานจะเชื่อมโยงระหว่างคำแนะนำของบิดามารดากับการกระทำของพวกเขา หากพวกเขาเห็นตัวอย่างเช่น หากบิดามารดาสาปแช่งหรือโกหกในการทำธุรกรรม แล้วพวกเขาจะยอมรับจากบิดามารดาหรือไม่ หากบิดามารดาห้ามพวกเขาจากสิ่งเหล่านั้น?! และหากพวกเขาเห็นบิดามารดาเกียจคร้านในการละหมาด แล้วพวกเขาจะยอมรับจากบิดามารดาหรือไม่ หากบิดามารดาสั่งพวกเขาให้ละหมาด?! และหากพวกเขาเห็นบิดามารดาสูบบุหรี่ แล้วพวกเขาจะยอมรับจากบิดามารดาหรือไม่ เมื่อบิดามารดาห้ามปรามพวกเขาจากการสูบบุหรี่?! 

อิมาม อิบนุล ก็อยยิม กล่าวว่า: 

يقول الإمام ابن القيم رحمه الله: "إذا اعتبرت الفساد في الأولاد، رأيت عامَّتَه من قِبَلِ الآباء".

"เมื่อท่านพิจารณาถึงความเสียหายในหมู่บุตรหลาน ท่านจะเห็นว่าส่วนใหญ่มาจากทางบิดามารดา" 

ด้วยเหตุนี้ จึงมีฮิกมะฮ์ (วิทยปัญญา) ที่ได้บัญญัติการละหมาดสุนัตในบ้านไว้ เพื่อให้บุตรหลานได้เรียนรู้การละหมาดในทางปฏิบัติจากบิดามารดา ดังนั้น บิดามารดาจึงต้องเป็นแบบอย่างที่ดีงาม การกระทำของพวกเขาต้องสอดคล้องกับคำพูดของพวกเขา พวกเขาต้องปฏิบัติในสิ่งที่พวกเขาสั่งสอน และละเว้นในสิ่งที่พวกเขาห้ามปราม 


สาม การขอดุอาอ์ (การวิงวอน) อย่างมากมายเพื่อขอให้พวกเขาได้รับการชี้นำและความดีงาม

แท้จริง การขอดุอาอ์ของบิดามารดานั้นมีผลอันยิ่งใหญ่ต่อความดีงามของบุตรหลาน และเป็นหนึ่งในสามดุอาอ์ที่ได้รับการตอบรับ ดังหะดีษในสุนัน จากท่านอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: 

ففي السنن، عن أبي هريرة رضي الله عنه، أن النبي صلى الله عليه وسلم قال: «ثلاث دعوات يُستجاب لهن، لا شكَّ فيهن: دعوة المظلوم، ودعوة المسافر، ودعوة الوالد لولده»؛ [رواه أبو داود، والترمذي، وقال: حديث حسن].

“มีสามดุอาอ์ที่จะได้รับการตอบรับอย่างแน่นอน โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ คือ ดุอาอ์ของผู้ถูกข่มเหง ดุอาอ์ของผู้เดินทาง และดุอาอ์ของบิดามารดาเพื่อบุตรของตน” [รายงานโดยอบูดาวูด และอัต-ติรมีซี และกล่าวว่าเป็นหะดีษหะซัน]

การขอดุอาอ์ของบิดามารดาเพื่อบุตรหลานของพวกเขานั้น ย่อมสมควรและเหมาะสมยิ่งที่จะได้รับการตอบรับ และมีผลกระทบต่อบุตรหลานแม้กระทั่งก่อนที่พวกเขาจะเกิดมา ดังนั้น จงขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา เพื่อขอความดีงาม ความถูกต้อง และความสำเร็จแก่บุตรหลานของท่าน  

وفي الصحيحين: قالت أم أنس رضي الله عنهما: يا رسول الله، خُوَيدِمُك أنس، ادعُ الله له، قال: فدعا لي بكل خير، وكان في آخر ما دعا لي به أن قال: «اللهم أكْثِرْ ماله، وولده، وبارك له فيما أعطيته»، قال أنس رضي الله عنه: فإني لَمن أكثر الأنصار مالًا، وحدثتني ابنتي: أنه دُفِن لصُلبي مَقْدَمَ حَجَّاج البصرة بضع وعشرون ومائة.

ในบันทึกของเศาะฮีฮัยน์ มีรายงานจากท่านหญิงอุมมุ อะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ว่า นางได้กล่าวว่า โอ้ ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ นี่คืออะนัสคนรับใช้ของท่าน โปรดขอพรต่ออัลลอฮ์ให้แก่เขาด้วยเถิด ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงได้ขอพรให้แก่เขาด้วยความดีงามทั้งหลาย และในช่วงท้ายของคำขอพรนั้น ท่านได้กล่าวว่า “โอ้อัลลอฮ์ โปรดทรงให้ทรัพย์สินและลูกหลานของเขาเพิ่มพูน และโปรดประทานความบะเราะกะฮ์ (ความจำเริญ) ในสิ่งที่พระองค์ทรงประทานให้แก่เขาด้วยเถิด” ท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า แท้จริง ฉันเป็นหนึ่งในชาวอันศอรที่มีทรัพย์สินมากที่สุด และลูกสาวของฉันได้เล่าให้ฉันฟังว่า ลูกหลานที่สืบเชื้อสายโดยตรงจากฉัน ได้ถูกฝังไปแล้วกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบคน ในช่วงที่อัล-หัจญาจญ์มาถึงบัศเราะฮ์ (ประมาณปีที่ 75 ฮ.ศ.)

ข้อควรระวัง บิดามารดาพึงระมัดระวังอย่างยิ่งจากการขอดุอาอ์ให้ร้ายแก่บุตรหลานของตน ภายใต้ข้ออ้างของการข่มขู่ การยับยั้งพวกเขาจากความผิด หรือการลงโทษพวกเขาเมื่อกระทำผิด ดังหะดีษเศาะฮีฮ์ในมุสลิม จากท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ว่า ท่านรอซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า: 

ففي صحيح مسلم عن جابر رضي الله عنه، أن رسول الله صلى الله عليه وسلم قال: «لا تدعوا على أنفسكم، ولا تدعوا على أولادكم، ولا تدعوا على خَدَمِكم، ولا تدعوا على أموالكم، لا توافقوا من الله تبارك وتعالى ساعةَ نَيلٍ فيها عطاء، فيستجيب لكم».

“พวกท่านจงอย่าขอดุอาอ์ให้ร้ายแก่ตัวของพวกท่านเอง และจงอย่าขอดุอาอ์ให้ร้ายแก่บุตรหลานของพวกท่าน และจงอย่าขอดุอาอ์ให้ร้ายแก่คนรับใช้ของพวกท่าน และจงอย่าขอดุอาอ์ให้ร้ายแก่ทรัพย์สินของพวกท่าน กลัวว่าจะตรงกับช่วงเวลาที่อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงประทานให้ ซึ่งเป็นเวลาที่พระองค์จะทรงตอบรับพวกท่าน” 

เพราะมีดุอาอ์มากมายที่ออกจากบิดามารดาคนใดคนหนึ่ง เพื่อลูกคนใดคนหนึ่ง แล้วตรงกับเวลาที่ได้รับการตอบรับซึ่งอาจเป็นสาเหตุแห่งความเสื่อมเสียและความหายนะของเขา เราขอความคุ้มครองต่ออัลลอฮ์ให้พ้นจากความกริ้วและความพิโรธของพระองค์ 


ดังนั้น พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย 

จงพยายามอย่างสุดความสามารถในการอบรมสั่งสอนบุตรหลานของท่านด้วยแนวทางของอิสลาม จงเป็นแบบอย่างที่ดีงามแก่พวกเขา และจงขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา อย่างสม่ำเสมอเพื่อขอให้พวกเขาเป็นบุตรที่ดีงามและเป็นประโยชน์ต่อศาสนา สังคม และตนเอง 

แท้จริง อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ทรงเป็นผู้ทรงได้ยินทุกคำวิงวอน และทรงตอบรับคำขอของผู้ที่ขอต่อพระองค์


--------

หมายเหตุ บทความนี้เรียบเรียงขึ้นด้วยเครื่องมือ notebooklm.google.com และปรับเพิ่มเติมให้เหมาะสม จากแหล่งอ้างอิงด้านล่างนี้

أسباب صلاح الأبناء (خطبة) - شبكة الألوكة t.ly/eVX97

أهمية الدعاء للذرية والأبناء - إسلام ويب t.ly/RWRCa

الذرية الصالحة - ملتقى الخطباء t.ly/K2jJD

صلاح الأبناء - ملتقى الخطباء t.ly/qMuPy


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

- สงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นใดๆ ก็ตามที่พิจารณาว่าไม่เหมาะควร -

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น