พี่น้องผู้ศรัทธาที่อัลลอฮ์เมตตาทุกท่านครับ
อัลฮัมดุลิลลาฮ์ เข้าสู่เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์
เป็นหนึ่งในเดือนที่ได้ชื่อ الأشهر الحرم อัล-อัชฮุร
อัล-หุรุม
เดือนต้องห้ามในอิสลาม ตามที่ปรากฏหลักฐานจากอัลกุรอานและหะดีษ พวกเราในฐานะมุสลิมผู้ศรัทธา
เรามาทำความรู้จักกับเดือนต้องห้ามเหล่านี้ว่ามีความสำคัญอย่างไรบ้าง? โดยเฉพาะเดือนที่เรากำลังมีชีวิตอยู่ตอนนี้
นั่นคือเดือนซุลเกาะอฺดะฮ์
อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสว่า
﴿إِنَّ عِدَّةَ ٱلشُّهُورِ عِندَ ٱللَّهِ ٱثۡنَا
عَشَرَ شَهۡرٗا فِي كِتَٰبِ ٱللَّهِ يَوۡمَ خَلَقَ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلۡأَرۡضَ مِنۡهَآ
أَرۡبَعَةٌ حُرُمٞۚ ذَٰلِكَ ٱلدِّينُ ٱلۡقَيِّمُۚ فَلَا تَظۡلِمُواْ فِيهِنَّ أَنفُسَكُمۡۚ﴾ [التوبة: 36]
ความว่า ““แท้จริง จำนวนเดือน
ณ อัลลอฮ์นั้นมีสิบสองเดือน ในบันทึกของอัลลอฮ์ตั้งแต่วันที่พระองค์ทรงสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน
ในจำนวนเดือนเหล่านั้นมีสี่เดือนเป็นเดือนที่ต้องห้าม นั่นคือบัญญัติอันเที่ยงตรง
ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่าอธรรม แก่ตัวของพวกเจ้าเองในเดือนเหล่านั้น” (อัต-เตาบะฮ์ 36)
พระองค์อัลลอฮ์ได้กำหนดไว้แล้วในบันทึก
อัล-เลาห์ อัล-มะห์ฟูซ ตั้งแต่วันที่ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน
ว่าเดือนทั้งหมดนั้นมีสิบสองเดือน และในจำนวนนั้นมีสี่เดือนที่เป็นเดือนต้องห้าม เป็นการกำหนดจากอัลลอฮ์และเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติศาสนกิจและการวางตัวของผู้ศรัทธาในเดือนต้องห้ามเหล่านี้
พี่น้องครับ
ในอัลกุรอานไม่ได้บอกว่าเดือนต้องห้ามทั้งสี่เดือนนี้คือเดือนอะไรบ้าง
แต่มีปรากฏในหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในหัจญ์วะดาอฺ
หัจญ์ครั้งสุดท้ายของท่าน ท่านนบีได้กล่าวว่า
«الزَّمانُ قَدِ اسْتَدارَ كَهَيْئَةِ يَومَ
خَلَقَ السَّمَواتِ والأرْضَ؛ السَّنَةُ اثْنا عَشَرَ شَهْرًا، مِنْها أرْبَعَةٌ
حُرُمٌ، ثَلاثَةٌ مُتَوالِياتٌ: ذُو القَعْدَةِ، وذُو الحِجَّةِ، والمُحَرَّمُ،
ورَجَبُ مُضَرَ الذي بيْنَ جُمادَى وشَعْبانَ...» [البخاري 4406، مسلم 1679]
ความว่า “วันเวลาได้หมุนเวียนเหมือนวันแรกที่สร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน
ปีหนึ่งมีสิบสองเดือน ในจำนวนนั้นมีสี่เดือนที่เป็นเดือนต้องห้าม
สามเดือนอยู่เรียงติดกัน คือ ซุลเกาะอฺดะฮ์ ซุลหิจญะฮ์ และ มุหัรร็อม อีกเดือนหนึ่งคือเราะญับ
เดือนของเผ่ามุฎ็อร ที่อยู่ระหว่างญุมาดาและชะอฺบาน” (อัล-บุคอรีย์ 4406, มุสลิม 1679)
นี่คือชื่อเดือนต้องห้ามทั้งสี่
ที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้อธิบายขยายความจากอัลกุรอานข้างต้น
ในเดือนทั้งสี่นี้มีบทบัญญัติอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง
และมีสิ่งใดที่มุสลิมจำเป็นต้องรู้และปฏิบัติตาม
อันดับแรก
การห้ามทำสงครามในเดือนต้องห้าม ยกเว้นในกรณีที่โดนรุกรานโจมตี บทบัญญัติข้อนี้อัลลอฮ์ได้กำหนดเอาไว้ในพระดำรัสของพระองค์ว่า
﴿يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ لَا تُحِلُّواْ
شَعَٰٓئِرَ ٱللَّهِ وَلَا ٱلشَّهۡرَ ٱلۡحَرَامَ﴾ [المائدة: 2]
ความว่า “ผู้ศรัทธาทั้งหลาย!
จงอย่าปล่อยให้เป็นที่อนุมัติ ซึ่งบรรดาเครื่องหมายแห่งศาสนาของอัลลอฮ์
และเดือนที่ต้องห้าม” (อัล-มาอิดะฮ์ 2)
บรรดานักตัฟซีรอธิบายว่า
หมายถึง อย่าได้ละเมิดเดือนต้องห้ามด้วยการริเริ่มทำสงครามในช่วงเดือนเหล่านี้
และระมัดระวังที่จะก่อความผิดบาปต่างๆ ในเดือนต้องห้าม (ดู ตัฟซีร อิบนิ กะษีร)[1]
มีรายงานจากท่านญาบิร
เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ เล่าว่า
لَمْ يَكُنْ رَسُولُ اللَّهِ
صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَغْزُو فِي الشَّهْرِ الْحَرَامِ إِلَّا أَنْ
يُغْزَى أَوْ يُغْزَوْا، فَإِذَا حَضَرَهُ أَقَامَ حَتَّى يَنْسَلِخَ.
[رواه أحمد 14713، بإسناد صحيح]
ความว่า ท่านเราะสูล
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ไม่เคยทำสงครามในเดือนต้องห้าม
เว้นแต่ในกรณีที่ถูกบุกโจมตีก่อน เมื่อเดือนต้องห้ามมาถึงท่านจะพำนักอยู่กับภูมิลำเนาจนกระทั่งสิ้นเดือนนั้น
(บันทึกโดยอะห์มัด 14713
ด้วยสายรายงานที่เศาะฮีห์)
ไม่ใช่เฉพาะชาวมุสลิมเท่านั้นที่ให้ความสำคัญกับเดือนต้องห้ามเหล่านี้
แม้กระทั่งชาวอาหรับในสมัยอดีตก่อนอิสลามเองก็ยังเข้มงวดและให้ความสำคัญกับเดือนเหล่านี้
เป็นที่ทราบกันดีว่าชาวอาหรับในสมัยญาฮิลียะฮ์ชอบทำสงครามระหว่างเผ่ากันมาก
แต่พวกเขากลับยกย่องให้เกียรติเดือนต้องห้ามอย่างยิ่ง
พวกเขาจะห้ามทำสงครามในช่วงเดือนเหล่านี้[2]
พี่น้องครับ
ประการที่สอง ห้ามการฝ่าฝืนและการทำบาป
ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ในเดือนต้องห้ามมีโทษที่หนักหนาสาหัสกว่าเดือนทั่วไป
เหมือนที่อัลลอฮ์ได้สั่งห้ามไว้ในอายะฮ์แรกที่เรากล่าวมาแล้ว
﴿فَلَا تَظۡلِمُواْ فِيهِنَّ أَنفُسَكُمۡۚ﴾ [التوبة: 36]
ความว่า “อย่าได้ ซอลิม
ก่ออธรรมหรือละเมิดต่อตัวพวกเจ้าเองในเดือนเหล่านั้น” (อัต-เตาบะฮ์ 36)
การละเมิดที่ว่านี้หมายถึง
การฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์และไม่เชื่อฟังพระองค์ แม้ว่าความผิดต่างๆ
ที่เป็นการละเมิดฝ่าฝืนคำสั่งของอัลลอฮ์จะเป็นบาปที่ห้ามทำทุกเดือน แต่ทว่าการทำบาปที่ฝ่าฝืนในช่วงเดือนต้องห้ามเหล่านี้
มีผลเสียและการลงโทษที่ร้ายแรงยิ่งกว่าในเดือนอื่นๆ มากขึ้นไปอีก (ดู ตัฟซีร
อัฏ-เฏาะบะรีย์)[3]
พี่น้องครับ
เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์เองเป็นเดือนแรกจากเหล่าเดือนต้องห้าม
ที่ได้ชื่อนี้เพราะคนอาหรับจะเก็บตัวอยู่กับบ้านไม่ทำสงคราม
และปล่อยให้ผู้คนเดินทางไปประกอบพิธีหัจญ์ได้อย่างปลอดภัย
ซุลเกาะอฺดะฮฺ ยังเป็นเดือนที่สองของเดือนแห่งการทำหัจญ์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เชาวาลเป็นต้นมา
ดังที่อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า
﴿ٱلۡحَجُّ أَشۡهُرٞ مَّعۡلُومَٰتٞۚ ﴾ [البقرة: 197]
ความว่า “หัจญ์นั้นมีเดือนที่ระบุจำเพาะเจาะจง” (อัล-บะเกาะเราะฮ์ 197)
เดือนที่เริ่มให้มีการเนียตอิห์รอมเพื่อทำหัจญ์ได้คือ
เชาวาล ซุลเกาะอฺดะฮ์ และสิบวันแรกของซุลหิจญะฮ์ ท่านอิบนุ อุมัร
เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา กล่าวว่า
الحَجُّ أَشْهُرٌ مَعْلُوْمَاتٌ قَالَ: شَوَّالٌ، وَذُو القَعْدَةِ، وَعَشْرُ ذِي الحِجَّة .[تفسير الطبري]
ความว่า หัจญ์นั้นมีเดือนที่ระบุจำเพาะเจาะจง นั่นคือ เชาวาล
ซุลเกาะอฺดะฮ์ และสิบวันแรกซุลหิจญะฮ์ (ตัฟซีร อัฏ-เฏาะบะรีย์)
และท่านอิบนุ
อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ก็ได้กล่าวว่า
مِنَ السُّنَّةِ: أَنْ لاَ يُحْرِمَ بِالحَجِّ إِلَّا
فِي أَشْهُرِ الحَجِّ. [تفسير ابن كثير]
ความว่า ในจำนวนสุนนะฮ์ก็คือ
ต้องไม่ครองอิห์รอมหัจญ์นอกจากในเดือนหัจญ์เท่านั้น (ตัฟซีร อิบนิ กะษีร)
พี่น้องครับ
เดือนซุลเกาะอฺดะฮ์ยังเป็นเดือนที่ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทำอุมเราะฮ์ถึงสามครั้ง มีรายงานว่าอุมเราะฮ์ทั้งหมดของท่านนบีนั้นมีสี่ครั้งและมันเกิดขึ้นในเดือนซุลเกาะอฺดะฮ์ถึงสามครั้งด้วยกัน
จากท่านอะนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ เล่าว่า
اعْتَمَرَ رَسولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عليه وسلَّمَ
أرْبَعَ عُمَرٍ، كُلَّهُنَّ في ذِي القَعْدَةِ، إلَّا الَّتي كَانَتْ مع
حَجَّتِهِ: عُمْرَةً مِنَ الحُدَيْبِيَةِ في ذِي القَعْدَةِ، وعُمْرَةً مِنَ
العَامِ المُقْبِلِ في ذِي القَعْدَةِ، وعُمْرَةً مِنَ الجِعْرَانَةِ، حَيْثُ
قَسَمَ غَنَائِمَ حُنَيْنٍ في ذِي القَعْدَةِ، وعُمْرَةً مع حَجَّتِهِ. [البخاري
4148]
ความว่า
ท่านเราะสูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทำอุมเราะฮ์สี่ครั้ง ทั้งหมดเกิดขึ้นในเดือนซุลเกาะอฺดะฮ์ยกเว้นครั้งเดียวที่เป็นอุมเราะฮ์ในปีที่ท่านทำหัจญ์ด้วย
สี่ครั้งนี้คือ อุมเราะฮ์ในเหตุการณ์หุดัยบียะฮ์ซึ่งเกิดขึ้นในซุลเกาะอฺดะฮ์ อุมเราะฮ์ปีถัดมาในเดือนซุลเกาะอฺดะฮ์
อุมเราะฮ์จากญิอฺรอนะฮ์ที่ท่านนบีแบ่งทรัพย์เชลยของสงครามหุนัยน์ในเดือนซุลเกาะอฺดะฮ์
และอุมเราะฮ์ในปีที่ท่านทำหัจญ์ (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ 4148)
พี่น้องครับ
อีกเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในเดือนซุลเกาะอฺดะฮ์ นั่นก็คือ
สนธิสัญญาหุดัยบียะฮ์ ในปีที่ 6 ฮิจญ์เราะฮ์ศักราช
จากเป้าหมายที่แค่ต้องการทำอุมเราะฮ์แต่สุดท้ายกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญนำไปสู่การขยายอิสลามสู่ดินแดนต่างๆ
และนำไปสู่การพิชิตมักกะฮ์ในเวลาต่อมา อัลกุรอานพูดถึงสนธิสัญญานี้ว่า ฟัตฮัน
มุบีนา หมายถึงการพิชิตอันชัดเจน ดังที่อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า
﴿ إِنَّا فَتَحۡنَا
لَكَ فَتۡحٗا مُّبِينٗا 1 ﴾ [الفتح: 1]
ความว่า “แท้จริงแล้ว เราได้พิชิตให้กับเจ้าด้วยการพิชิตอย่างชัดเจนแล้ว”
(อัล-ฟัตห์ 1)
บรรดาเศาะหาบะฮ์และนักตัฟซีรหลายคนให้ความหมายมันว่าคือวันแห่งหุดัยบียะฮ์
ซึ่งเกิดขึ้นในซุลเกาะอฺดะฮ์นั่นเอง เพราะหลังจากที่ท่านนบีกลับจากหุดัยบียะฮ์ก็ได้ส่งหนังสือไปยังผู้นำและกษัตริย์ทั่วแว่นแคว้น
ทั้งคาบสมุทรอาหรับ โรมัน และเปอร์เซีย เชิญชวนพวกเขาสู่อิสลาม เป็นการประกาศขยายสัจธรรมจนนำไปสู่การรับอิสลามของผู้คนอย่างมากมายหลังจากสนธิสัญญาหุดัยบียะฮ์
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนหน้านี้
นี่คือเรื่องราวต่างๆ
ที่เราได้เห็นจากเดือนต้องห้ามและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนซุลเกาะอฺดะฮ์ เพื่อให้เรามีกำลังใจในการที่จะครองตนเป็นบ่าวของอัลลอฮ์
ภายใต้คำสอนอิสลามอันงดงามทั้งในการปฏิบัติอิบาดะฮ์และการใช้ชีวิตในสังคมตามครรลองแห่งศาสนาของอัลลอฮ์
สุบหานะฮูวะตะอาลา
พี่น้องที่อัลลอฮ์เมตตาทุกท่าน
ช่วงนี้เป็นฤดูกาลแห่งการเตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปทำหัจญ์
ณ เมืองมักกะฮ์ ซึ่งเป็นรุก่นอิสลามข้อสุดท้ายที่สำคัญมาก
เราจะเห็นว่าอิสลามมีองค์ประกอบต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกความต้องการของมนุษย์โดยฟิฏเราะฮ์หรือธรรมชาติแรกเริ่มตามที่อัลลอฮ์สร้างเขามา
อิสลามได้กำหนดระบอบชีวิตให้กับมนุษย์อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน สังเกตได้จากรุก่นอิสลามทั้งห้าข้อ
ตั้งแต่
1) การกล่าวปฏิญาณตนด้วยสองคำปฏิญาณซึ่งเป็นความต้องการด้านอะกีดะฮ์/หลักความเชื่อที่ชัดเจน
เป็นที่ยึดเหนี่ยวของหัวใจ
2) การละหมาด เป็นความต้องการด้านพิธีกรรม
เป็นการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับพระผู้เป็นเจ้า
ซึ่งรวมถึงการวิงวอนขอต่อพระองค์และการอิบาดะฮ์ต่อพระองค์
3) การถือศีลอด
ที่ถือเป็นแม่บทด้านศีลธรรม เป็นความต้องการในด้านการควบคุมจิตใจ
ช่วยกดอารมณ์ใฝ่ต่ำให้อยู่ภายใต้คำสอนของอัลลอฮ์ ขัดเกลาจิตใจให้บริสุทธิ์ด้วยมารยาทที่ดีงามทั้งปวง
4) การจ่ายซะกาต เป็นความต้องการในเรื่องของฐานแห่งระบอบเศรษฐกิจในอิสลาม
ครอบคลุมและเกี่ยวข้องกับบทบัญญัติเกี่ยวกับธุรกรรมต่างๆ เช่นการค้าขาย
การทำเกษตรกรรม ฯลฯ ที่เป็นปัจจัยการดำรงชีวิตที่มนุษย์จำเป็นต้องมี
5) การทำหัจญ์
เป็นความต้องการด้านการรับผิดชอบต่อสังคม การได้ทำความรู้จักกับผู้คนที่หลากหลายจากทั่วโลกทำให้ตระหนักถึงความเป็นสากลของอิสลาม
เป็นการสะท้อนภาพตัวแทนด้านการเมืองการปกครองที่ปรากฏอยู่ในบทบัญญัติของอิสลาม
นี่คือความสมบูรณ์อันสวยงามของอิสลาม ที่อัลลอฮ์ได้ประกาศชัดในวันที่ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ทำหัจญ์ ด้วยอายะฮ์ที่ประทานลงมาว่า
﴿ٱلۡيَوۡمَ أَكۡمَلۡتُ لَكُمۡ دِينَكُمۡ وَأَتۡمَمۡتُ
عَلَيۡكُمۡ نِعۡمَتِي وَرَضِيتُ لَكُمُ ٱلۡإِسۡلَٰمَ دِينٗاۚ﴾ [المائدة: 3]
ความว่า “”
อายะฮ์นี้ถูกประทานลงมาในวันอะเราะฟะฮ์ ในขณะที่ท่านนบี
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กำลังวุกูฟอยู่ในการทำหัจญ์ของท่าน
เพราะฉะนั้น ขอให้เราตั้งใจว่าจะปฏิบัตตนให้เป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ครบทุกอย่าง
แม้ว่าวันนี้เรายังไม่มีความสามารถ แต่ขอให้เนียตและตั้งใจ ทุ่มเททั้งความรู้และการปฏิบัติเพื่อให้ได้เป็นมุสลิมที่สมบูรณ์ที่สุดในทุกด้านสักวันหนึ่ง
อินชาอ์อัลลอฮ์
[1] يعني بذلك تحريمه والاعتراف بتعظيمه ،
وترك ما نهى الله عن تعاطيه فيه من الابتداء بالقتال، وتأكيد اجتناب المحارم
[تفسير ابن كثير].
[2] ดูเพิ่มเติมใน t.ly/aXdeD
يقول البيهقي:
"وكان أهل الجاهلية يعظمون هذه الأشهر... فكانوا لا يقاتلون فيهن"(فضائل
الأوقات للبيهقي)
[3] عن قتادة: أما قوله: (فلا تظلموا فيهن
أنفسكم)، فإن الظلم في الأشهر الحرم أعظم خطيئةً ووِزْرًا، من الظلم فيما سواها،
وإن كان الظلم على كل حال عظيمًا، ولكن الله يعظِّم من أمره ما شاء. [تفسير
الطبري]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
- สงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นใดๆ ก็ตามที่พิจารณาว่าไม่เหมาะควร -
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น