วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2567

คุฏบะฮ์ ความอดทนในอัลกุรอาน - ซุฟอัม อุษมาน

 



ฟังคุฏบะฮ์นี้ได้จาก YouTube 

 https://www.youtube.com/watch?v=nAlDZvft2ZE

 
หรือบน SoundCloud

พี่น้องมุอ์มินผู้ศรัทธาที่อัลลอฮ์เมตตาทุกท่านครับ

อัลหัมดุลิลลาฮ์ ชุโกรต่ออัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา สำหรับหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาในชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตหรืออุบัติภัยต่างๆ ที่เราต้องเผชิญ แต่อัลลอฮ์ก็ให้เราผ่านพ้นมาได้อย่างปลอดภัย เวลาเกิดเรื่องราวที่เป็นบททดสอบต่างๆ ในชีวิต เรามักจะได้เรียนรู้บทเรียนบางประการไปพร้อมกันด้วย โดยเฉพาะบทเรียนเรื่องความอดทน

ความอดทนเป็นสิ่งที่ต้องพูดกันบ่อย เพราะเรามีปัญหาทุกวัน และชีวิตของเรายังต้องเจอกับบททดสอบอีกมากมายในวันข้างหน้า อัลลอฮ์ สบห ได้สอนให้เราร่วมมือกันทำความดีและช่วยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ให้มีความอดทนในการทำดีและเผชิญหน้าบททดสอบต่างๆ ในชีวิต 

﴿ وَتَوَاصَوۡاْ بِٱلۡحَقِّ وَتَوَاصَوۡاْ بِٱلصَّبۡرِ 3 ﴾ [العصر: 3]  
ความว่า “พวกเขาสั่งเสียกันในเรื่องสัจธรรม และสั่งเสียกันให้มีความอดทน” (อัล-อัศร์ )

ดังนั้น ความอดทนจึงเป็นสิ่งที่เราต้องสั่งเสียกันให้มากอย่างสม่ำเสมอ หลายรอบหลายวาระ 


พี่น้องครับ

เราเข้าใจมิติต่างๆ ของความอดทนมากน้อยแค่ไหน ยังมีแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับความอดทนที่เราอาจจะยังไม่รู้ เป็นสิ่งที่อยากจะเชิญชวนให้มารู้จักมิติและแง่มุมต่างๆ ของความอดทนเพิ่มขึ้น เพราะยิ่งเรารู้จักความอดทนมากขึ้นก็จะยิ่งเพิ่มความรู้สึกให้คุณค่าแก่มัน จะได้รัก ปฏิบัติ และให้ความสำคัญแก่คำสอนจากอัลกรุอานในเรื่องนี้อย่างเต็มที่มากขึ้นอีกด้วย

อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสถึงความอดทนในอัลกุรอานของพระองค์ไว้อย่างไรบ้าง เราเคยผ่านหูผ่านตาอายะฮ์ต่างๆ ที่พูดถึงความอดทนที่ไหนบ้าง เหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจทบทวนและศึกษาเรียนรู้อย่างยิ่ง

ในหนังสือมะดาริจญ์ อัส-สาลิกีน (เล่ม 2 หน้า 152 สืบค้นที่ t.ly/ADPTu) อิบนุล ก็อยยิม ได้ยกเอาคำพูดของอุละมาอ์อย่างอิมามอะห์มัดที่พูดถึงเรื่องนี้ไว้อย่างน่าสนใจ 

قَالَ الْإِمَامُ أَحْمَدُ رَحِمَهُ اللَّهُ تَعَالَى: الصَّبْرُ فِي الْقُرْآنِ فِي نَحْوِ تِسْعِينَ مَوْضِعًا، وَهُوَ مَذْكُورٌ فِي الْقُرْآنِ عَلَى سِتَّةَ عَشَرَ نَوْعًا.
อิมามอะห์มัด เราะฮิมะฮุลลอฮ์ ได้กล่าวว่า ความอดทนในอัลกุรอานนั้นถูกกล่าวถึงประมาณเจ็ดสิบแห่งด้วยกัน โดยแบ่งออกเป็นสิบหกแง่มุม ดังนี้ 

الْأَوَّلُ: الْأَمْرُ بِهِ. 
หนึ่ง การมีคำสั่งให้อดทน เช่น
﴿ ٱصۡبِرُواْ وَصَابِرُواْ ﴾ [آل عمران: 200]  
ความว่า “จงอดทนและอดทนอย่างแข็งขัน” (อาล อิมรอน  200) 

﴿ وَٱصۡبِرۡ وَمَا صَبۡرُكَ إِلَّا بِٱللَّهِۚ ﴾ [النحل: 127]  
ความว่า “จงอดทน ความอดทนของเจ้านั้นจะไม่เกิดนอกจากด้วยการช่วยเหลือของอัลลอฮ์” (อัน-นะห์ล 127) 

الثَّانِي: النَّهْيُ عَنْ ضِدِّه.
สอง การมีคำสั่งห้ามพฤติกรรมที่ตรงข้ามกับความอดทน คือ ห้ามไม่ให้ตีโพยตีพาย หุนหันพลันแล่น สิ้นหวัง เป็นต้น เช่น พระดำรัสของอัลลอฮ์ที่ว่า 
﴿ فَٱصۡبِرۡ كَمَا صَبَرَ أُوْلُواْ ٱلۡعَزۡمِ مِنَ ٱلرُّسُلِ وَلَا تَسۡتَعۡجِل لَّهُمۡۚ ﴾ [الأحقاف: 35]  
ความว่า “จงอดทนเหมือนที่บรรดาศาสนทูตผู้เข้มแข็งได้อดทนมาก่อน อย่าได้หุนหันพลันแล่นกับคนเหล่านั้น” (อัล-อะห์กอฟ 35)

﴿ وَلَا تَهِنُواْ وَلَا تَحۡزَنُواْ ﴾ [آل عمران: 139]  
ความว่า “อย่ารู้สึกท้อแท้อ่อนแอ และอย่าได้กังวล” (อาล อิมรอน 139) 
เพราะความท้อแท้มาจากการขาดความอดทน

الثَّالِثُ: الثَّنَاءُ عَلَى أَهْلِهِ.
สาม การชื่นชมผู้ที่มีความอดทน ซึ่งมีอยู่หลายที่ในอัลกุรอาน 
﴿وَٱلصَّٰبِرِينَ فِي ٱلۡبَأۡسَآءِ وَٱلضَّرَّآءِ وَحِينَ ٱلۡبَأۡسِۗ أُوْلَٰٓئِكَ ٱلَّذِينَ صَدَقُواْۖ وَأُوْلَٰٓئِكَ هُمُ ٱلۡمُتَّقُونَ 177 ﴾ [البقرة: 177]  
ความว่า “บรรดาผู้ที่มีความอดทนทั้งตอนที่ขัดสน เจ็บป่วย และสงคราม คนเหล่านั้นคือผู้สัจจริง พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์” (อัล-บะเกาะเราะฮ์ 177)

الرَّابِعُ: إِيجَابُهُ سُبْحَانَهُ مَحَبَّتَهُ لَهُمْ. 
สี่ การที่อัลลอฮ์ทรงมอบความรักของพระองค์ให้แก่ผู้อดทน
﴿وَٱللَّهُ يُحِبُّ ٱلصَّٰبِرِينَ 146 ﴾ [آل عمران: 146]  
ความว่า “”อัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้ที่อดทน” (อาล อิมรอน 146)

الْخَامِسُ: إِيجَابُ مَعِيَّتِهِ لَهُمْ. وَهِيَ مَعِيَّةٌ خَاصَّةٌ. تَتَضَمَّنُ حِفْظَهُمْ وَنَصْرَهُمْ، وَتَأْيِيدَهُمْ وَهِيَ مَعِيَّةُ الْعِلْمِ وَالْإِحَاطَةِ.
ห้า การที่อัลลอฮ์บอกว่าพระองค์จะอยู่กับผู้อดทน หมายถึงทรงดูแล ปกป้อง ช่วยเหลือ สนับสนุน ทรงรอบรู้ทุกอย่างที่พวกเขาทำและต้องการ
﴿ وَٱصۡبِرُوٓاْۚ إِنَّ ٱللَّهَ مَعَ ٱلصَّٰبِرِينَ 46 ﴾ [الأنفال: 46]  
ความว่า “พวกเจ้าจงอดทนเถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงอยู่กับบรรดาผู้อดทน” (อัล-อันฟาล 46)

السَّادِسُ: إِخْبَارُهُ بِأَنَّ الصَّبْرَ خَيْرٌ لِأَصْحَابِهِ.
หก การที่อัลลอฮ์บอกว่าความอดทนคือสิ่งที่ดีกว่า
﴿ وَلَئِن صَبَرۡتُمۡ لَهُوَ خَيۡرٞ لِّلصَّٰبِرِينَ 126 ﴾ [النحل: 126]  
ความว่า “หากพวกเจ้าอดทน นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ดียิ่งสำหรับคนที่อดทน” (อัน-นะห์ล 126)

﴿ وَأَن تَصۡبِرُواْ خَيۡرٞ لَّكُمۡۗ ﴾ [النساء: 25]  
ความว่า “การที่พวกเจ้าอดทนนั้นย่อมดีกว่าสำหรับพวกเจ้าเอง” (อัน-นิสาอ์ 25)

السَّابِعُ: إِيجَابُ الْجَزَاءِ لَهُمْ بِأَحْسَنِ أَعْمَالِهِمْ.
เจ็ด การที่อัลลอฮ์เตรียมผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับผู้อดทน 
﴿ وَلَنَجۡزِيَنَّ ٱلَّذِينَ صَبَرُوٓاْ أَجۡرَهُم بِأَحۡسَنِ مَا كَانُواْ يَعۡمَلُونَ 96 ﴾ [النحل: 96]  
ความว่า “แน่นอน เราจะให้ผลตอบแทนแก่บรรดาผู้อดทนด้วยรางวัลที่ดีที่สุดตามที่พวกเขาได้ทำ” (อัน-นะห์ล 96)

الثَّامِنُ: إِيجَابُهُ سُبْحَانَهُ الْجَزَاءَ لَهُمْ بِغَيْرِ حِسَابٍ.
แปด การที่พระองค์ทรงตอบแทนผู้อดทนด้วยผลบุญที่มากมายไม่อาจคำนวน
﴿ إِنَّمَا يُوَفَّى ٱلصَّٰبِرُونَ أَجۡرَهُم بِغَيۡرِ حِسَابٖ 10 ﴾ [الزمر: 10]  
ความว่า “แท้จริงแล้ว บรรดาผู้อดทนนั้นจะได้รับผลตอบแทนของพวกเขาอย่างมากมายโดยไม่อาจคำนวน” (อัซ-ซุมัร 10)

التَّاسِعُ: إِطْلَاقُ الْبُشْرَى لِأَهْلِ الصَّبْرِ.
เก้า การประกาศแจ้งข่าวดีแก่ผู้อดทน 
﴿ وَلَنَبۡلُوَنَّكُم بِشَيۡءٖ مِّنَ ٱلۡخَوۡفِ وَٱلۡجُوعِ وَنَقۡصٖ مِّنَ ٱلۡأَمۡوَٰلِ وَٱلۡأَنفُسِ وَٱلثَّمَرَٰتِۗ وَبَشِّرِ ٱلصَّٰبِرِينَ 155 ﴾ [البقرة: 155]  
ความว่า “แน่นอน เราจะทดสอบพวกเจ้าด้วยบางส่วนเล็กน้อยจากความกลัว ความหิว ความสูญเสียในทรัพย์สิน ชีวิต และพืชผลการเกษตร และจงแจ้งข่าวดีแก่บรรดาผู้อดทนเถิด” (อัล-บะเกาะเราะฮ์ 155)

الْعَاشِرُ: ضَمَانُ النَّصْرِ وَالْمَدَدِ لَهُمْ. 
สิบ การรับประกันชัยชนะและส่งมะลาอิกะฮ์เป็นกองหนุนคอยช่วยเหลือพวกเขา อัลลอฮ์ตรัสว่า  
﴿ بَلَىٰٓۚ إِن تَصۡبِرُواْ وَتَتَّقُواْ وَيَأۡتُوكُم مِّن فَوۡرِهِمۡ هَٰذَا يُمۡدِدۡكُمۡ رَبُّكُم بِخَمۡسَةِ ءَالَٰفٖ مِّنَ ٱلۡمَلَٰٓئِكَةِ مُسَوِّمِينَ 125 ﴾ [آل عمران: 125]  
ความว่า “ทว่า หากพวกเจ้าอดทนและยำเกรงต่ออัลลอฮ์ แล้วศัตรูก็พุ่งเข้ามาหาพวกเจ้าด้วยความมุ่งหมาย พระผู้อภิบาลของพวกเจ้าก็จะทรงสนับสนุนพวกเจ้าด้วยกองพลห้าพันนายจากมะลาอิกะฮ์ที่ห้าวหาญ” (อาล อิมรอน 125) 

และมีในหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า
«وَاعْلَمْ أَنَّ النَّصْرَ مَعَ الصَّبْرِ».
ความว่า “พึงทราบเถิดว่า ชัยชนะนั้นมาพร้อมกับความอดทน”

الْحَادِي عَشَرَ: الْإِخْبَارُ مِنْهُ تَعَالَى بِأَنَّ أَهْلَ الصَّبْرِ هُمْ أَهْلُ الْعَزَائِمِ.
สิบเอ็ด การที่อัลลอฮ์แจ้งว่าผู้อดทนคือผู้ที่มีความหนักแน่นมั่นคง 
﴿ وَلَمَن صَبَرَ وَغَفَرَ إِنَّ ذَٰلِكَ لَمِنۡ عَزۡمِ ٱلۡأُمُورِ 43 ﴾ [الشورى: 43]  
ความว่า “ใครที่อดทนและให้อภัย แท้จริง สิ่งนั้นย่อมเป็นเรื่องที่หนักแน่นมั่นคง” (อัช-ชูรอ 43)

الثَّانِي عَشَرَ: الْإِخْبَارُ أَنَّهُ مَا يَلْقَى الْأَعْمَالَ الصَّالِحَةَ وَجَزَاءَهَا وَالْحُظُوظَ الْعَظِيمَةَ إِلَّا أَهْلُ الصَّبْرِ. 
สิบสอง อัลลอฮ์บอกว่าความดีงามและโชคลาภทั้งหลายในชีวิตจะได้มาแก่ผู้ที่มีความอดทนเท่านั้น
﴿ وَمَا يُلَقَّىٰهَآ إِلَّا ٱلَّذِينَ صَبَرُواْ وَمَا يُلَقَّىٰهَآ إِلَّا ذُو حَظٍّ عَظِيمٖ 35 ﴾ [فصلت: 35]  
ความว่า “ไม่มีใครได้รับความดีงามเหล่านั้น นอกจากบรรดาผู้ที่อดทน และไม่มีใครที่ได้รับความดีงามเหล่านั้น นอกจากจะเป็นคนที่โชคดีอย่างใหญ่หลวง” (ฟุศศิลัต 35)

الثَّالِثَ عَشَرَ: الْإِخْبَارُ أَنَّهُ إِنَّمَا يَنْتَفِعُ بِالْآيَاتِ وَالْعِبَرِ أَهْلُ الصَّبْرِ.
สิบสาม อัลลอฮ์บอกว่ามีแต่ผู้อดทนเท่านั้นที่จะได้รับบทเรียนจากสัญญาณและเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่นที่อัลลอฮ์ตรัสกับนบีมูซาว่า
﴿ وَذَكِّرۡهُم بِأَيَّىٰمِ ٱللَّهِۚ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَأٓيَٰتٖ لِّكُلِّ صَبَّارٖ شَكُورٖ 5 ﴾ [ابراهيم: 5]  
ความว่า “จงสะกิดเตือนให้พวกเขาสำนึกด้วยเรื่องราวในอดีตที่อัลลอฮ์ให้เกิดขึ้น แท้จริงแล้ว ในเหตุการณ์เหล่านั้นย่อมมีบทเรียนต่างๆ แก่บรรดาผู้ที่อดทนอดกลั้นและรู้จักขอบคุณ” (อิบรอฮีม 5)
และที่พระองค์พูดถึงเรื่องราวของชาวสะบะอ์ว่า
﴿فَجَعَلۡنَٰهُمۡ أَحَادِيثَ وَمَزَّقۡنَٰهُمۡ كُلَّ مُمَزَّقٍۚ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَأٓيَٰتٖ لِّكُلِّ صَبَّارٖ شَكُورٖ 19 ﴾ [سبأ: 19]  
ความว่า “แล้วเราทำได้ทำให้พวกเขากลายเป็นเรื่องเล่าขาน และเราได้ฉีกทำลายพวกเขาจนแหลกอย่างสิ้นเชิง แท้จริงแล้ว ในเหตุการณ์นั้นย่อมมีบทเรียนต่างๆ แก่บรรดาผู้ที่อดทนอดกลั้นและรู้จักขอบคุณ” (สะบะอ์ 19)
และในสูเราะฮ์ อัช-ชูรอ
﴿ وَمِنۡ ءَايَٰتِهِ ٱلۡجَوَارِ فِي ٱلۡبَحۡرِ كَٱلۡأَعۡلَٰمِ 32 إِن يَشَأۡ يُسۡكِنِ ٱلرِّيحَ فَيَظۡلَلۡنَ رَوَاكِدَ عَلَىٰ ظَهۡرِهِۦٓۚ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَأٓيَٰتٖ لِّكُلِّ صَبَّارٖ شَكُورٍ 33 ﴾ [الشورى: 32،  33]  
ความว่า “ในจำนวนสัญญาณของอัลลอฮ์ก็คือเรือสำเภาในทะเลที่ใหญ่โตเหมือนภูเขา หากพระองค์ประสงค์ก็จะทรงทำให้ลมสงบนิ่ง แล้วเรือเหล่านั้นก็จะจอดแช่อยู่บนผืนน้ำไปไหนไม่ได้ แท้จริงแล้ว ในเรื่องนั้นย่อมมีบทเรียนต่างๆ แก่บรรดาผู้ที่อดทนอดกลั้นและรู้จักขอบคุณ” (อัช-ชูรอ 32-33) 

الرَّابِعَ عَشَرَ: الْإِخْبَارُ بِأَنَّ الْفَوْزَ الْمَطْلُوبَ الْمَحْبُوبَ، وَالنَّجَاةَ مِنَ الْمَكْرُوهِ الْمَرْهُوبِ، وَدُخُولَ الْجَنَّةِ، إِنَّمَا نَالُوهُ بِالصَّبْرِ. 
สิบสี่ อัลลอฮ์บอกว่าความสำเร็จตามที่หวัง การรอดพ้นจากสิ่งที่ไม่ชอบ และการได้เข้าสวรรค์ ล้วนต้องได้มาด้วยความอดทนทั้งสิ้น
﴿ وَٱلۡمَلَٰٓئِكَةُ يَدۡخُلُونَ عَلَيۡهِم مِّن كُلِّ بَابٖ 23 سَلَٰمٌ عَلَيۡكُم بِمَا صَبَرۡتُمۡۚ فَنِعۡمَ عُقۡبَى ٱلدَّارِ 24 ﴾ [الرعد: 23،  24]  
ความว่า “มะลาอิกะฮ์จะพากันเข้ามาหาพวกเขาจากทุกประตู พร้อมกล่าวทักทายว่า ความสันติจงมีแก่พวกท่านทั้งหลายเถิด ด้วยการที่พวกท่านอดทนมาก่อน ดังนั้น นี่คือบ้านที่ดีที่สุดแล้ว” (อัร-เราะอฺด์ 23-24)

الْخَامِسَ عَشَرَ: أَنَّهُ يُورِثُ صَاحِبَهُ دَرَجَةَ الْإِمَامَةِ. 
สิบห้า ความอดทนเป็นมูลเหตุให้ได้เข้าถึงภาวะแห่งการเป็นผู้นำ
อิบนุล ก็อยยิม กล่าวว่า ฉันได้ยินอิบนุ ตัยมียะฮ์กล่าวว่า بِالصَّبْرِ وَالْيَقِينِ تُنَالُ الْإِمَامَةُ فِي الدِّينِ ด้วยความอดทนและความเชื่อมั่นจึงจะได้ภาวะแห่งการเป็นผู้นำมาครอง แล้วท่านก็อ่านอายะฮ์นี้
﴿ وَجَعَلۡنَا مِنۡهُمۡ أَئِمَّةٗ يَهۡدُونَ بِأَمۡرِنَا لَمَّا صَبَرُواْۖ وَكَانُواْ بِ‍َٔايَٰتِنَا يُوقِنُونَ 24 ﴾ [السجدة: 24]  
ความว่า “เราได้ทำให้พวกเขาบางคนเป็นผู้นำที่เรียกร้องเชิญชวนตามวิถีทางของเรา เมื่อครั้นพวกเขามีความอดทน และพวกเขาเป็นผู้ที่เชื่อมั่นในโองการของเรา” (อัส-สัจญ์ดะฮ์ 24)

السَّادِسَ عَشَرَ: اقْتِرَانُهُ بِمَقَامَاتِ الْإِسْلَامِ وَالْإِيمَانِ، كَمَا قَرَنَهُ اللَّهُ سُبْحَانَهُ بِالْيَقِينِ وَبِالْإِيمَانِ، وَالتَّقْوَى وَالتَّوَكُّلِ. وَبِالشُّكْرِ وَالْعَمَلِ الصَّالِحِ وَالرَّحْمَةِ. 
สิบหก การที่ความอดทนอยู่เคียงข้างสถานะต่างๆ เช่น อิสลาม อีมาน ยะกีน ตักวา ตะวักกุล ชุกร์ อะมัลศอลิห์ และเราะห์มะฮ์ เช่น ความอดทนเคียงข้างการละหมาด ซึ่งเป็นรุก่นอิสลาม
﴿ وَٱسۡتَعِينُواْ بِٱلصَّبۡرِ وَٱلصَّلَوٰةِۚ ﴾ [البقرة: 45]  
ความว่า “จงแสวงหาความช่วยเหลือด้วยการอดทนและการละหมาด” (อัล-บะเกาะเราะฮ์ 45)
หรืออยู่เคียงข้างอีมาน เช่น
﴿ يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱصۡبِرُواْ وَصَابِرُواْ ﴾ [آل عمران: 200]  
ความว่า “โอ้ บรรดาผู้มีอีมานทั้งหลาย จงอดทนและอดทนอย่างแข็งขัน” (อาล อิมรอน 200) 

นี่คือแง่มุมแห่งความอดทนในอัลกุรอาน ที่อัลลอ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ใช้เพื่อเราเรียนรู้และยึดมั่นอย่างเหนียวแน่น เป็นแง่มุมที่ทั้งสวยงามและทรงพลังอย่างมหัศจรรย์

พี่น้องที่รักทั้งหลายครับ

ความอดทนคือสิ่งที่อยู่เคียงข้างความศรัทธาไม่สามารถแยกจากกันได้ ถ้าไม่มีความอดทนก็ไม่มีความศรัทธาที่แท้จริง เหมือนกับร่างกายที่ไม่มีศีรษะ ดังคำพูดที่ว่า 
ومنزلة الصبر من الإيمان بمنزلة الرأس من الجسد، ولا إيمان لمن لا صبر له، كما أنه لا جسد لمن لا رأس له. [ابن القيم]
ความว่า สถานะของความอดทนต่อความศรัทธานั้น เปรียนเหมือนสถานะของศีรษะกับร่างกาย ไม่มีความศรัทธาถ้าไม่มีความอดทน เช่นเดียวกับที่ร่างกายจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีศีรษะ (ดู มะดาริจญ์ อัส-สาลิกีน 2/153 บ้างก็กล่าวกันว่าเป็นคำพูดของท่านอะลีย์ บิน อบีฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ดูใน กิตาบ อัศ-ศ็อบร์ ของ อิบนุ อบี อัด-ดุนยา 8)

ดังนั้น จงเรียนรู้อัลกุรอานคัมภีร์ของอัลลอฮ์ เพราะมันเพียงพอที่จะทำให้เราฝ่าฟันวิกฤตต่างๆ ได้ แม้ว่ามันจะหนักหน่วงแค่ไหน หรือเราจะถูกทดสอบให้เจอกับความวุ่นวายที่หมุนเวียนซ้ำมาอีกกี่ครั้งก็ตาม เราก็สามารถที่จะผ่านไปได้ด้วยอนุมัติของอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา  



วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

คุฏบะฮ์ - ญาฮิล ไม่รู้ศาสนา - ซุฟอัม อุษมาน


 

ฟังคุฏบะฮ์นี้ได้จาก YouTube 

คุฏบะฮ์ - ญาฮิล ไม่รู้ศาสนา - ซุฟอัม อุษมาน

 
หรือบน SoundCloud


พี่น้องผู้ร่วมศรัทธาที่อัลลอฮ์เมตตาทุกท่าน

ในหะดีษที่รายงานโดยอบู ดาวูด จากท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ เล่าว่า
خَرَجْنا في سَفَرٍ، فأصابَ رَجُلًا مِنَّا حَجَرٌ فشَجَّه في رَأْسِه، ثم احتَلَمَ، فسألَ أصحابَه، فقال: هل تَجِدونَ لي رُخصةً في التَّيمُّمِ؟ فقالوا: ما نَجِدُ لكَ رُخصةً وأنتَ تَقدِرُ على الماءِ. فاغتَسَلَ، فماتَ، فلَمَّا قَدِمْنا على النَّبيِّ صلَّى اللهُ عليه وسلَّمَ أُخبِرَ بذلك، فقال: «قَتَلوه قَتَلَهمُ اللهُ، ألَا سألوا إذْ لم يَعلَموا؛ فإنَّما شِفاءُ العِيِّ السُّؤالُ، إنَّما كان يَكفيه أنْ يَتيَمَّمَ ويَعصِرَ أو يَعصِبَ -شَكَّ موسى- على جُرحِه خِرقةً، ثم يَمسَحَ عليها ويَغسِلَ سائِرَ جَسَدِه» [رواه أبو داود] .
ความว่า ครั้งหนึ่งขณะที่เราอยู่ในระหว่างการเดินทาง มีชายคนหนึ่งในหมู่พวกเราเกิดอุบัติเหตุโดนก้อนหินที่ศีรษะทำให้มีแผลบาดเจ็บ ต่อมาเขาก็ฝันเปียก(ทำให้มีหะดัษใหญ่ต้องอาบน้ำวาญิบ) ก็เลยถามบรรดาพรรคพวกของเขาว่า พวกท่านมีความเห็นอย่างไร ฉันได้รับการอนุโลมให้ทำตะยัมมุมหรือไม่? พวกเขาตอบว่า เราไม่เห็นว่าท่านมีเหตุอนุโลมใดๆ เพราะท่านใช้น้ำชำระได้อยู่ ได้ยินดังนั้นเขาจึงอาบน้ำวาญิบ ต่อมาก็เสียชีวิต(เพราะแผลกำเริบจากการโดนน้ำ) เมื่อเรากลับมาหาท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ท่านก็ทราบข่าวดังกล่าว ท่านกล่าวว่า “พวกเขาเป็นเหตุทำให้คนผู้นั้นต้องตาย ระวังเถิดว่าอัลลอฮ์จะลงโทษพวกเขา พวกเขาน่าจะถามถ้าพวกเขาไม่รู้ การรักษาเยียวยาความไม่รู้คือการถาม อันที่จริง เพียงพอแล้วที่จะให้คนผู้นั้นทำการตะยัมมุม ด้วยการเอาผ้ามาพันแผลไว้แล้วลูบบนผ้านั้นและล้างอวัยวะส่วนอื่นๆ ทั้งหมดแทน” (บันทึกโดย อบู ดาวูด ดูในเศาะฮีห์ อบี ดาวูด ของ อัล-อัลบานีย์ 336 เป็นหะดีษหะสัน)


ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ตำหนิบรรดาเศาะหาบะฮ์ผู้ที่ออกความเห็นจนก่อให้เกิดอันตรายต่อคนอื่น โดยไม่ได้อาศัยความรู้ที่ถูกต้อง และท่านแนะนำว่าหากไม่รู้ก็ต้องถามคนที่รู้
หะดีษนี้สอนบทเรียนแก่เราว่า บางทีความไม่รู้ อาจจะส่งผลร้ายและมีอันตรายถึงชีวิต เหมือนที่เราพูดกันว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ การทำอะไรก็ตามโดยไม่ได้มีความรู้จึงเป็นอะไรที่น่ากลัวมาก เพราะฉะนั้นอิสลามจึงมีบทบัญญัติให้มุสลิมทุกคนต้องเรียนรู้ศาสนา 

พี่น้องครับ

อัลลอฮ์ได้กำหนดให้ประชาชาติมุสลิมต้องมีคนรู้ศาสนาที่เรียนและคอยสอนคนอื่น พระองค์ตรัสว่า
﴿ ۞وَمَا كَانَ ٱلۡمُؤۡمِنُونَ لِيَنفِرُواْ كَآفَّةٗۚ فَلَوۡلَا نَفَرَ مِن كُلِّ فِرۡقَةٖ مِّنۡهُمۡ طَآئِفَةٞ لِّيَتَفَقَّهُواْ فِي ٱلدِّينِ وَلِيُنذِرُواْ قَوۡمَهُمۡ إِذَا رَجَعُوٓاْ إِلَيۡهِمۡ لَعَلَّهُمۡ يَحۡذَرُونَ 122 ﴾ [التوبة: 122]  
ความว่า “ไม่บังควรที่บรรดาผู้ศรัทธาจะออกไปสู้รบกันทั้งหมด สมควรที่จะให้แต่ละกลุ่มในหมู่พวกเขามีตัวแทนที่ออกไปหาความรู้ศาสนา เพื่อจะได้ตักเตือนกลุ่มชนของพวกเขาที่อยู่ในสมรภูมิเมื่อคนเหล่านั้นกลับมายังมาตุภูมิ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีความระมัดระวัง” (อัต-เตาบะฮ์ 122)
สุบหานัลลอฮ์ แม้กระทั่งเวลาที่บอกว่าให้ออกไปทำสงคราม อัลกุรอานยังบอกว่าไม่ควรออกไปทั้งหมด ให้มีคนกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่เรียนรู้ศาสนาด้วย เพื่อที่จะได้ใช้สอนบรรดาพลทหารที่ออกรบเมื่อพวกเขากลับมา ชี้ให้เห็นชัดว่าการเรียนรู้ศาสนาสำคัญไม่แพ้การออกไปสู่สมรภูมิสงครามเลย 

พี่น้องครับ

การเข้าใจศาสนาคือกุญแจที่จะไขไปสู่สิ่งดีๆ ในชีวิต ทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮ์ 
«مَن يُرِدِ اللَّهُ به خَيْرًا يُفَقِّهْهُ في الدِّينِ» [البخاري، من حديث معاوية]
ความว่า “ใครก็ตามที่อัลลอฮ์ประสงค์จะให้ความดีบังเกิดแก่เขา พระองค์จะทำให้เขาได้เข้าใจศาสนา” (อัล-บุคอรีย์)


การมีความรู้คือตัวชี้วัดสำคัญว่าในดุนยานี้เราจะได้รับสิ่งดีๆ อะไรบ้าง และแน่นอนที่สุดในวันอาคิเราะฮ์นั้นเราจะกลับไปอย่างคนที่สำเร็จไม่ได้เลยถ้าไม่มีความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับศาสนาของอัลลอฮ์ การไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาคิเราะฮ์และสิ่งที่ต้องเตรียมตัวไปสู่ชีวิตหลังความตาย เป็นความญาฮิล(ความไม่รู้) แม้ว่าคนผู้นั้นจะรู้ทุกอย่างในดุนยาก็ตาม ถึงจะรู้ศาสตร์อื่นๆ ทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ การเมือง ฯลฯ หรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าไม่รู้อาคิเราะฮ์ ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม ไม่รู้ว่าชีวิตหลังความตายเป็นอย่างไรและจะต้องเตรียมตัวอย่างไร ก็ยังถือว่าเป็นคนที่ญาฮิลอยู่ดี 
﴿ يَعۡلَمُونَ ظَٰهِرٗا مِّنَ ٱلۡحَيَوٰةِ ٱلدُّنۡيَا وَهُمۡ عَنِ ٱلۡأٓخِرَةِ هُمۡ غَٰفِلُونَ 7 ﴾ [الروم: 7]  
ความว่า “พวกเขารู้เรื่องที่เปิดเผยเกี่ยวกับชีวิตในโลกดุนยานี้เท่านั้น แต่พวกเขากลับหลงลืมเกี่ยวกับอาคิเราะฮ์” (อัร-รูม 7)

การญาฮิลในเรื่องศาสนาบางทีอย่าว่าแต่ต้องเป็นเรื่องใหญ่ๆ ที่ซับซ้อนเลย บางแม้กระทั่งเรื่องจำเป็นในแต่ละวันเราก็เห็นสภาพที่น่าเป็นห่วง เช่น จะอาบน้ำละหมาดอย่างไรให้ถูกต้อง ละหมาดอย่างไรให้ตรงตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สอน เป็นต้น มีตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นในสมัยท่านนบี เช่น ครั้งหนึ่งท่านเห็นคนผู้หนึ่งอาบน้ำละหมาดแล้วล้างเท้าไม่ทั่วตาตุ่ม ท่านก็บอกเขาให้ล้างให้ทั่ว และเตือนว่าการอาบน้ำละหมาดชุ่ยๆ ล้างไม่ทั่วอาจจะเป็นสาเหตุให้ต้องรับโทษในนรก
أنَّ النبيَّ صَلَّى اللَّهُ عليه وسلَّمَ رَأَى رَجُلًا لَمْ يَغْسِلْ عَقِبَيْهِ فقالَ: ويْلٌ لِلأَعْقابِ مِنَ النَّارِ. [حديث أبي هريرة رواه مسلم]
ความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เห็นชายคนหนึ่งไม่ได้ล้างตาตุ่มทั้งสอง ท่านจึงกล่าวว่า “นรกคือโทษของผู้ที่ไม่ล้างตาตุ่ม” (บันทึกโดยมุสลิม จากหะดีษของอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์)

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือเศาะหาบะฮ์ที่เข้ามาละหมาดในมัสยิดแบบเร่งรีบและละหมาดเร็วๆ ไม่มีสมาธิ ท่านก็บอกให้เขากลับไปละหมาดใหม่ถึงสามครั้ง
أنَّ رَجُلًا دَخَلَ المَسْجِدَ فَصَلَّى، ورَسولُ اللَّهِ صَلَّى اللهُ عليه وسلَّمَ في نَاحِيَةِ المَسْجِدِ، فَجَاءَ فَسَلَّمَ عليه، فَقَالَ له: ارْجِعْ فَصَلِّ فإنَّكَ لَمْ تُصَلِّ فَرَجَعَ فَصَلَّى ثُمَّ سَلَّمَ، فَقَالَ: وعَلَيْكَ، ارْجِعْ فَصَلِّ فإنَّكَ لَمْ تُصَلِّ قَالَ في الثَّالِثَةِ: فأعْلِمْنِي، قَالَ: إذَا قُمْتَ إلى الصَّلَاةِ، فأسْبِغِ الوُضُوءَ، ثُمَّ اسْتَقْبِلِ القِبْلَةَ، فَكَبِّرْ واقْرَأْ بما تَيَسَّرَ معكَ مِنَ القُرْآنِ، ثُمَّ ارْكَعْ حتَّى تَطْمَئِنَّ رَاكِعًا، ثُمَّ ارْفَعْ رَأْسَكَ حتَّى تَعْتَدِلَ قَائِمًا، ثُمَّ اسْجُدْ حتَّى تَطْمَئِنَّ سَاجِدًا، ثُمَّ ارْفَعْ حتَّى تَسْتَوِيَ وتَطْمَئِنَّ جَالِسًا، ثُمَّ اسْجُدْ حتَّى تَطْمَئِنَّ سَاجِدًا، ثُمَّ ارْفَعْ حتَّى تَسْتَوِيَ قَائِمًا، ثُمَّ افْعَلْ ذلكَ في صَلَاتِكَ كُلِّهَا. [حديث أبي هريرة، رواه البخاري]
ความว่า มีชายคนหนึ่งเข้ามาในมัสยิดและได้ละหมาด ในขณะที่ท่านนบีพักอยู่ที่ริมด้านข้างของมัสยิด เมื่อละหมาดเสร็จเขาก็เขามาทักทายให้สลามท่านนบี ท่านกล่าวกับเขาว่า “กลับไปละหมาดใหม่ เพราะท่านละหมาดไม่ถูกต้อง” ชายคนนั้นกลับไปละหมาดใหม่ตามเดิม หลังจากนั้นเขามาหาท่านนบีและทักทายให้สลามท่านอีกครั้ง ท่านนบีกล่าวอีกว่า “ขอให้ท่านได้รับสันติสุขเช่นกัน ท่านจงกลับไปละหมาดใหม่ เพราะยังละหมาดไม่ถูกต้อง” เมื่อเขาทำเช่นนั้นสามครั้ง ชายคนนั้นก็กล่าวว่า “โปรดสอนฉันเถิดว่าต้องละหมาดอย่างไร?” ท่านนบีจึงกล่าวว่า “เมื่อท่านจะละหมาดให้อาบน้ำละหมาดให้ทั่ว แล้วหันไปทางกิบละฮ์ จงกล่าวตักบีร์ จากนั้นอ่านอัลกุรอานเท่าที่ท่านสามารถจะอ่านได้ จากนั้นรุกูอ์จนกว่าท่านจะนิ่งในอิริยาบถการรุกูอฺ จากนั้นยืนขึ้นจนกระทั่งได้ยืนตรง จากนั้นก็จงสุญูดจนกว่าท่านจะรู้สึกนิ่งสงบในอิริยาบถการสุญูดนั้น และจงเงยขึ้นมานั่งจนกว่าท่านจะนิ่งอยู่ในท่านั่ง แล้วก็ลุกขึ้นยืนจนกระทั่งยืนตรง ให้ทำเช่นนั้นตลอดการละหมาดของท่าน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ จากหะดีษอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์)

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ คนที่เข้ามาในมัสยิดแล้วนั่งเลยโดยไม่ได้ละหมาดก่อน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นขณะที่ท่านกำลังคุฏบะฮ์วันศุกร์ ท่านก็บอกให้เขาละหมาดสองร็อกอะฮ์ก่อนที่จะนั่งลง
قالَ: دَخَلَ رَجُلٌ يَومَ الجُمُعَةِ والنبيُّ صَلَّى اللهُ عليه وسلَّمَ يَخْطُبُ، فَقالَ: أصَلَّيْتَ؟ قالَ: لَا، قالَ: قُمْ فَصَلِّ رَكْعَتَيْنِ. [حديث جابر، رواه البخاري]
ความว่า ชายคนหนึ่งเข้ามานั่งในมัสยิดช่วงที่ท่านนบีกำลังคุฏบะฮ์วันศุกร์ ท่านนบีถามเขาว่า “ท่านละหมาดหรือยัง?” เขาตอบว่า ไม่ ท่านนบีจึงสั่งเขาว่า “จงลุกขึ้นมาละหมาดก่อนสองร็อกอะฮ์” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ จากหะดีษญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์)

พี่น้องครับ
ญาฮิลบางอย่างอาจจะทำให้อิบาดะฮ์ไม่สมบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่แล้ว แต่การญาฮิลบางเรื่องอาจจะนำไปสู่การกระทำผิดที่น่ากลัวยิ่งกว่า ที่อาจจะถึงขั้นบาปใหญ่ ชิริก บิดอะฮ์ คุรอฟะฮ์ ก็เป็นได้ มีรายงานในหะดีษว่า
أنَّ رسولَ اللهِ صلَّى اللَّهُ عليْهِ وسلَّمَ لمَّا خرجَ إلى [حنين] مرَّ بشجرةٍ للمُشرِكينَ يقالُ لَها ذاتُ أنواط يعلِّقونَ عليْها أسلحتَهم فقالوا يا رسولَ اللهِ اجعَل لنا ذاتَ أنواطٍ كما لَهم ذاتُ أنواطٍ فقالَ النَّبيُّ صلَّى اللَّهُ عليْهِ وسلَّمَ: «سبحانَ اللهِ هذا كما قالَ قومُ موسى اجْعَلْ لَنَا إِلَهًا كَمَا لَهُمْ آلِهَةٌ والَّذي نفسي بيدِهِ لترْكبُنَّ سنَّةَ مَن كانَ قبلَكم». [حديث أبي واقد الليثي، رواه الترمذي]
ความว่า เมื่อครั้งที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ออกไปทำสงครามหุนัยน์ ท่านผ่านต้นไม้ต้นหนึ่งของพวกมุชริกีน เรียกว่า ซาตุ อันวาฏ ซึ่งพวกเขาใช้เป็นที่แขวนดาบเพื่อเอาโชค บรรดาเศาะหาบะฮ์ที่มาด้วยก็เอ่ยกับท่านนบีว่า ท่านหาต้นไม้ซาตุ อันวาฏ ให้เราสักต้นหนึ่งเหมือนที่คนเหล่านั้นก็มีต้นไม้นี้ได้ไหม? ท่านนบีตอบพวกเขาว่า “สุบหานัลลอฮ์ นี่เป็นคำพูดที่เหมือนกับพวกของนบีมูซา ตอนที่พวกเขากล่าวกับมูซาว่า ให้เรามีพระเจ้าใช้กราบไหว้เหมือนกับที่คนอื่นก็มีพระเจ้าให้กราบไหว้! ขอสาบานด้วยอัลลอฮ์ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พวกท่านจะได้เห็นการเลียนแบบตัวอย่างของประชาชาติก่อนหน้านี้อย่างเลี่ยงไม่พ้น” (บันทึกโดย อัต-ติรมิซีย์ จากหะดีษอบู วากิด อัล-ลัยษีย์)

ด้วยความไม่รู้ทำให้เกิดพฤติกรรมที่น่ากังวลต่ออะกีดะฮ์และกระทบต่อความเชื่อในฐานะมุสลิมได้เช่นกัน ปัจจุบันนี้ก็มีมากมาย อาทิ เรื่องหมอผี หมอดู การบนบานจากเจ้าที่เจ้าทาง การยุ่งกับไสยศาสตร์ การลงทุนในธุรกิจคลุมเครือ ฯลฯ ซึ่งเกิดขึ้นกับสังคมมุสลิมเองด้วย สุบหานัลลอฮ์
ดังนั้น นี่คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า ในฐานะมุสลิมเราจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ และต้องไม่อยู่เฉยกับการแสวงหาความรู้ศาสนา เพื่อที่จะยกหรือขจัดความญาฮิลให้พ้นไปจากตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลักการอิสลามพื้นฐานที่ไม่รู้ไม่ได้ 

พี่น้องที่รักทั้งหลายครับ

ความญาฮิลอีกประการหนึ่งในยุคสมัยแห่งโซเชียลมีเดียและยุคดิจิตอลก็คือ ญาฮิล ต่อญาฮิลียะฮ์ คือความไม่รู้ต่อสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับอิสลามในยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ท่านอุมัร บิน อัล-ค็อฏฏอบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ได้กล่าวว่า
إنما تنقض عرى الإسلام عروة عروة إذا نشأ فى الإسلام من لا يعرف الجاهلية [من أقوال عمر بن الخطاب]
แท้จริงแล้ว ขมวดปมแห่งอิสลามจะหลุดออกทีละขมวดทีละปม เมื่อเกิดอนุชนรุ่นใหม่ในอิสลามที่ไม่รู้จักญาฮิลียะฮ์

ญาฮิลียะฮ์ หรือสิ่งที่ไม่ถูกต้องกับบทบัญญัติอิสลามในยุคสมัยนี้อาจจะมาในรูปแบบกระแสวัฒนธรรม แฟชั่น เทรนด์ ไลฟสไตล์ แนวการทำธุรกิจ สื่อ โซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการศึกษา และอื่นๆ ที่ต้องอาศัยความรู้ศาสนาในการกลั่นกรองและตรวจสอบว่าอันไหนที่ผู้ศรัทธาสามารถยุ่งเกี่ยวได้หรือไม่ได้  
ในหะดีษที่เล่าจากท่านอบู สะอีด เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า 
« لَتَتَّبِعُنَّ سَنَنَ مَن قَبْلَكُمْ شِبْرًا بشِبْرٍ، وَذِرَاعًا بذِرَاعٍ، حتَّى لو سَلَكُوا جُحْرَ ضَبٍّ لَسَلَكْتُمُوهُ، قُلْنَا: يا رَسُولَ اللَّهِ، اليَهُودَ وَالنَّصَارَى؟ قالَ: فَمَنْ؟» [حديث أبي سعيد، رواه البخاري]
ความว่า “พวกท่านจะเลียนแบบตามแนวทางของพวกก่อนหน้าท่าน คืบต่อคืบ ศอกต่อศอก แม้กระทั่งหากว่าพวกเขาเข้าไปในรูของฎ็อบบ์(สัตว์เลื้อยคลานในทะเลทรายประเภทหนึ่ง) พวกท่านก็จะยังตามพวกเขาเข้าไป” เศาะหาบะฮ์ถามว่า ท่านหมายถึงชาวยิวและชาวคริสต์ใช่หรือไม่? ท่านตอบว่า “จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่พวกเขา?” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ จากหะดีษอบู สะอีด เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์)

พฤติกรรมการเลียนแบบต่างๆ ที่เราเห็นมันในสังคมของเราคือประจักษ์พยานที่น่าเป็นห่วงตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เตือนไว้ล่วงหน้าแล้ว 
เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่จะต้องช่วยกันเยียวยารักษาให้สภาพแห่งความญาฮิลให้หมดไป 
ในฐานะปัจเจกมุสลิม ย่อมเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่ต้องหาว่าตัวเองจะเรียนที่ไหนอย่างไร และในฐานะผู้นำชุมชนก็มีหน้าที่จะต้องจัดให้มีการเรียนรู้ศาสนาไม่ว่าในมัสยิดหรือตามวาระและโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ 

สุดท้าย อย่าลืมที่จะขอดุอาอ์ให้อัลลอฮ์เพิ่มพูนความรู้ที่มีประโยชน์แก่เราอย่างสม่ำเสมอ เหมือนดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สอนไว้ เช่น
كان إذا أصبَحَ قال: اللَّهُمَّ إنِّي أسألُكَ عِلمًا نافعًا، ورِزقًا طيِّبًا، وعَملًا مُتقَبَّلًا.  [حديث أم سلمة، رواه ابن ماجه]
ความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในช่วงเวลาเช้าท่านจะขอดุอาอ์ว่า “โอ้อัลลอฮ์ ข้าวอนขอต่อพระองค์ให้ประทานความรู้ที่เป็นประโยชน์ ปัจจัยยังชีพที่ดี และการงานที่ถูกตอบรับ” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ จากหะดีษอบู สะอีด เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์)


«اللَّهُمَّ انْفَعْنِي بِمَا عَلَّمْتَنِي، وَعَلِّمْنِي مَا يَنْفَعُنِي، وَزِدْنِي عِلْمًا» [رواه الترمذي]
ความว่า “โอ้อัลลอฮ์ ได้โปรด ให้เกิดคุณประโยชน์แก่ความรู้ที่พระองค์สอนฉัน ได้โปรด สอนฉันในสิ่งที่มีประโยชน์ และได้โปรด เพิ่มพูนความรู้แก่ฉันด้วยเถิด” (บันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์)


วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2567

คุฏบะฮ์ - ชาวมือขวา - ซุฟอัม อุษมาน


ฟังคุฏบะฮ์นี้ได้จาก YouTube 

 
หรือบน SoundCloud



พี่น้องมุสลิมที่อัลลอฮ์รักและเมตตาทุกท่าน

การศรัทธาต่ออาคิเราะฮ์เป็นหนึ่งในรุก่นอีมานที่จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนจะต้องทำความรู้จักและต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอาคิเราะฮ์ การเรียนรู้ทำความรู้จักกับอาคิเราะฮ์และสภาพต่างๆ ที่จะเกิดในโลกหน้า จะเป็นเหตุกระตุ้นให้เรารู้สึกตัวในโลกดุนยานี้ ให้เราได้เตรียมตัวเพื่อวันที่จะมาถึงนั้นมากขึ้น ในสูเราะฮ์ อัล-วากิอะฮ์  อัลลอฮ์ได้พูดถึงเรื่องราวของมนุษย์ในอาคิเราะฮ์ว่าจะถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม

﴿ وَكُنتُمۡ أَزۡوَٰجٗا ثَلَٰثَةٗ 7 فَأَصۡحَٰبُ ٱلۡمَيۡمَنَةِ مَآ أَصۡحَٰبُ ٱلۡمَيۡمَنَةِ 8 وَأَصۡحَٰبُ ٱلۡمَشۡ‍َٔمَةِ مَآ أَصۡحَٰبُ ٱلۡمَشۡ‍َٔمَةِ 9 وَٱلسَّٰبِقُونَ ٱلسَّٰبِقُونَ 10 ﴾ [الواقعة] 

ความว่า “พวกเจ้าจะแบ่งเป็นสามกลุ่ม คือกลุ่มทางขวา(ผู้ได้รับบันทึกด้วยมือขวา) เจ้ารู้หรือไม่ว่ากลุ่มทางขวาคือใคร? และกลุ่มทางซ้าย (ผู้ได้รับบันทึกด้วยมือซ้าย) เจ้ารู้หรือไม่ว่ากลุ่มทางซ้ายคือใคร ? และกลุ่มแนวหน้า เป็นกลุ่มที่อยู่แนวหน้า” (อัล-วากิอะฮ์ 7-10)

กลุ่มแรกคือชาวมือขวา กลุ่มที่สองคือกลุ่มชาวมือซ้าย และกลุ่มที่สามคือกลุ่มที่ใกล้ชิดกับอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา

 

พี่น้องครับ

ในวันอาคิเราะฮ์จะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มสามพวก ในสามพวกนี้เป็นชาวสวรรค์สองพวก คือ กลุ่มอัส-สาบิกูนที่เป็นวีไอพีผู้ใกล้ชิดอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา  ซึ่งเป็นกลุ่มของบรรดานบี บรรดาชุฮะดาอ์ บรรดาศิดดีกีน และบรรดาศอลิฮีน ชาวสวรรค์กลุ่มนี้เป็นกลุ่มพิเศษ จำนวนส่วนใหญ่มาจากคนรุ่นก่อนและส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมาจากคนรุ่นหลัง[1]

ชาวสวรรค์อีกกลุ่มหนึ่งคือบรรดาชาวมือขวาที่เป็นชาวสวรรค์ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นชาวสวรรค์ที่เราอยากจะทำความรู้จักให้มาก เพราะสิทธิที่จะเป็นอัส-สาบิกูนนั้นเราต่างก็หวังที่อยากจะได้รับ แต่บางครั้งอาจจะดูยากเกินไปเมื่อเทียบกับความดีที่เราทำ ถ้าเป็นอัส-สาบิกูนไม่ได้ก็ต้องเป็นชาวมือขวาให้ได้เพียงทางเดียวเท่านั้น เพราะถ้าไม่เป็นชาวมือขวานั่นก็แสดงว่าไม่มีโอกาสที่ให้เป็นชาวสวรรค์อีกแล้ว อีกประการหนึ่งก็คือชาวสวรรค์กลุ่มนี้อัลลอฮ์บอกว่าเป็นจำนวนส่วนใหญ่ที่มาจากทั้งคนรุ่นก่อนและคนรุ่นหลัง จึงขอให้เราหวังที่จะเป็นชาวมือขวานี้ให้ได้ก่อน อินชาอ์อัลลอฮ์

อัศหาบุลยะมีน ชาวมือขวา พวกเขาคือใคร? อัลลอฮ์ได้พูดถึงพวกเขาว่า

 ﴿ وَأَصۡحَٰبُ ٱلۡيَمِينِ مَآ أَصۡحَٰبُ ٱلۡيَمِينِ 27 فِي سِدۡرٖ مَّخۡضُودٖ 28 وَطَلۡحٖ مَّنضُودٖ 29 وَظِلّٖ مَّمۡدُودٖ 30 وَمَآءٖ مَّسۡكُوبٖ 31 وَفَٰكِهَةٖ كَثِيرَةٖ 32 لَّا مَقۡطُوعَةٖ وَلَا مَمۡنُوعَةٖ 33 وَفُرُشٖ مَّرۡفُوعَةٍ 34 إِنَّآ أَنشَأۡنَٰهُنَّ إِنشَآءٗ 35 فَجَعَلۡنَٰهُنَّ أَبۡكَارًا 36 عُرُبًا أَتۡرَابٗا 37 لِّأَصۡحَٰبِ ٱلۡيَمِينِ 38 ثُلَّةٞ مِّنَ ٱلۡأَوَّلِينَ 39 وَثُلَّةٞ مِّنَ ٱلۡأٓخِرِينَ 40 ﴾ [الواقعة: 27،  40] 

ความว่า “และชาวมือขวา (ผู้ได้รับบันทึกด้วยมือขวา) เจ้ารู้หรือไม่ว่ากลุ่มชาวมือขวาเป็นอย่างไร? (พวกเขา) อยู่ภายใต้ต้นพุทราที่ไร้หนาม และต้นกล้วยที่ออกผลเป็นเครือตั้งแต่ยอดจรดโคนต้น (ไม่เห็นลำต้น) และร่มเงาที่แผ่ขยายกว้างไกล และน้ำที่รินอยู่ตลอดเวลา และผลไม้อันมากหลาย โดยไม่หมดสิ้นและไม่ถูกห้าม และเตียงนอนที่ถูกยกให้สูงขึ้น (พร้อมบรรดานางสวรรค์ที่คอยปรนนิบัติ) แท้จริงเราได้บังเกิดพวกนาง เป็นกรณีพิเศษ แล้วเราได้ทำให้พวกนางเป็นสาวพรหมจรรย์ เป็นที่น่ารักน่าชื่มชมแก่คู่ครอง อยู่ในวัยสาวอายุไล่เลี่ยกัน เตรียมไว้สำหรับชาวมือขวา ซึ่งเป็นจำนวนมากจากชนรุ่นก่อน และจำนวนมากจากชนรุ่นหลังเช่นกัน” (อัล-วากิอะฮ์ 27-40)

อิบนุ กะษีร ได้อธิบายว่า: มนุษย์ในวันกิยามะฮ์จะแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือคนที่จะอยู่ด้านขวาของอะรัช/บัลลังก์ของอัลลอฮ์ พวกเขาคือคนที่กำเนิดมาจากซีกขวาของอาดัม พวกเขาจะได้รับสมุดบันทึกด้วยมือขวา และถูกนำตัวไปทางด้านขวา อัส-สุดดีย์ได้กล่าวว่า พวกเขาคือชาวสวรรค์ส่วนใหญ่[2]

ความสุขสบายที่ชาวสวรรค์กลุ่มนี้จะได้รับ ส่วนหนึ่งก็คือ มีต้นพุทราสวรรค์ที่ไร้หนาม​ มีกล้วยสวรรค์ที่เป็นเครือยาวถึงโคน​ อยู่ใต้ร่มเงาที่แผ่กว้าง มีน้ำที่ไหลรินอยู่ตลอดเวลา มีผลไม้ต่างๆ นานาหลากหลายไม่เคยขาด จะกินหรือบริโภคเมื่อไรก็ทำได้ตามใจปรารถนา​ ได้พักอยู่บนเตียงสูงที่รายล้อมด้วยภรรยาเป็นนางสวรรค์ที่อัลลอฮ์บันดาลให้พวกนางมีความงดงามน่าชมและมีอายุไล่เลี่ยกันคอยปรนนิบัติพวกเขา

 

พี่น้องครับ

อัศหาบุลยะมีน คือ คนที่จะรับสมุดบันทึกด้วยมือขวา พวกเขาจะยินดีปรีดาเป็นอย่างมากเมื่อได้รับสมุดบันทึกของพวกเขาด้วยมือขวา และได้พบว่าในสมุดบันทึกของเขาเต็มไปด้วยความดีที่เคยทำไว้ตอนมีชีวิต

﴿ فَأَمَّا مَنۡ أُوتِيَ كِتَٰبَهُۥ بِيَمِينِهِۦ فَيَقُولُ هَآؤُمُ ٱقۡرَءُواْ كِتَٰبِيَهۡ 19 إِنِّي ظَنَنتُ أَنِّي مُلَٰقٍ حِسَابِيَهۡ 20 فَهُوَ فِي عِيشَةٖ رَّاضِيَةٖ 21 فِي جَنَّةٍ عَالِيَةٖ 22 قُطُوفُهَا دَانِيَةٞ 23 كُلُواْ وَٱشۡرَبُواْ هَنِيٓ‍َٔۢا بِمَآ أَسۡلَفۡتُمۡ فِي ٱلۡأَيَّامِ ٱلۡخَالِيَةِ 24 ﴾ [الحاقة: 19،  24] 

ความว่า “ส่วนบรรดาผู้ที่ได้รับสมุดบันทึกทางเบื้องขวาของเขา เขาจะกล่าวว่า มาอ่านบันทึกของฉันสิ แท้จริงฉันมั่นใจอยู่แล้วว่าฉันจะได้พบบัญชีของฉัน เขาจะมีความเป็นอยู่อย่างสุขสำราญ ในสวนสวรรค์อันสูงส่ง มีผลไม้ให้เด็ดอยู่ต่ำเตี้ยแค่เอื้อมมือ พวกเจ้าจงกิน จงดื่ม อย่างเกษมสำราญ เพราะสิ่งที่พวกเจ้าได้ปฏิบัติไว้ในช่วงวันเวลาของชีวิตที่ผ่านมา” (อัล-ห๊ากเกาะฮ์ 19-24)

 

พี่น้องครับ

อัศหาบุลยะมีน ชาวมือขวานั้น อัลลอฮ์จะทำให้การสอบสวนของพวกเขาเป็นไปอย่างง่ายดาย พระองค์จะสอบสวนพวกเขาเพียงผ่านๆ เพื่อให้พวกเขายอมรับในความบกพร่องที่พวกเขาอาจจะเคยกระทำมา แต่พระองค์ไม่ได้สอบสวนเพื่อที่จะเอาผิดหรือลงโทษเหมือนที่พระองค์สอบสวนบรรดาชาวมือซ้ายที่เป็นชาวนรก อัลลลอฮ์ตรัสว่า

﴿ فَأَمَّا مَنۡ أُوتِيَ كِتَٰبَهُۥ بِيَمِينِهِۦ 7 فَسَوۡفَ يُحَاسَبُ حِسَابٗا يَسِيرٗا 8 وَيَنقَلِبُ إِلَىٰٓ أَهۡلِهِۦ مَسۡرُورٗا 9﴾ [الانشقاق: 7،  9]

ความว่า “ส่วนบรรดาผู้ที่ได้รับสมุดบันทึกของเขาด้วยมือขวา เขาจะถูกสอบสวนด้วยการคิดบัญชีที่ง่ายดาย และจะกลับไปหาคนในครอบครัวของเขาด้วยความยินดีปรีดา” (อัล-อินชิกอก 7-9)

ในหะดีษที่รายงานจากอับดุลลอฮ์ บิน อุมัร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่าท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า

عن عبد الله بن عمر عن النبي صلى الله عليه وسلم: «إنَّ اللهَ تعالى يُدنِي المؤمنَ، فَيضَعُ عليهِ كَنفَه وسِتْرَه من النَّاسِ، ويُقرِّرُه بذُنوبِه فيقولُ: أَتعرِفُ ذَنبَ كَذا؟ أَتعرِفُ ذَنبَ كَذا فيقولُ: نعَم أَيْ رَبِّ، حتَّى إذا قَرَّرَهُ بذُنوبِه ورَأى في نَفسِه أَنَّه قد هَلكَ، قال: فإنِّي قد سَترتُهَا عليكَ في الدُّنيا، وأنا أَغفِرُهَا لكَ اليومَ، ثم يُعطَي كتابَ حسناتِه بِيمينِه.  وأمَّا الكافرُ والمنافقُ فيقولُ الأشهادُ: هؤلاءِ الَّذينَ كذبوا علَى ربِّهم أَلا لَعنةُ اللهِ علَى الظَّالمينَ» [رواه البخاري ومسلم]

ความว่า “อัลลอฮ์จะให้ผู้ศรัทธาเข้ามาใกล้พระองค์ แล้วพระองค์ก็จะปิดม่านบังเขาไว้จากสายตายของมนุษย์ทั้งหลาย พระองค์จะถามให้เขายอมรับในบาปต่างๆ ที่เขาเคยทำ พระองค์จะถามว่า เจ้ารู้ตัวว่าทำบาปนี้หรือไม่ บาปนั้นหรือไม่? เขาก็จะตอบว่า ใช่ โอ้พระผู้อภิบาลของข้า กระทั่งเมื่อพระองค์ทำให้เขายอมรับบาปทั้งหลายของเขา จนเขารู้สึกว่าเขาจะต้องประสบกับหายนะอย่างแน่แท้แล้ว พระองค์ก็จะตรัสกับเขาว่า แท้จริงข้าเคยปกปิดบาปของเจ้าเมื่อครั้งเจ้ามีชีวิตในโลกดุนยา และวันนี้ข้าก็จะให้อภัยโทษให้กับเจ้า จากนั้นเขาก็จะได้รับสมุดบันทึกความดีของเขาด้วยมือขวา ในขณะที่บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาและบรรดามุนาฟิกนั้น จะมีพยานทั้งหลายที่กล่าวประจานว่า พวกนี้คือคนที่โกหกต่อพระผู้อภิบาลของพวกเขา ขอให้การสาปแช่งของอัลลอฮ์เกิดขึ้นกับบรรดาผู้อธรรมทั้งหลายเถิด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ และมุสลิม)

อัลลอฮ์จะไม่ประจานความผิดของบ่าวผู้ศรัทธา สุบหานัลลอฮ์

ตอนที่เรามีชีวิตในโลกดุนยา เราอาจจะทำผิดพลาดบางอย่าง เราทุกคนล้วนมีบาป และถ้าหากบาปนั้นถูกประจานต่อหน้าคนอื่นมันจะสร้างความอับอายให้กับเราแค่ไหน  แต่พระองค์ก็ปกปิดบาปเหล่านั้นไม่ให้ถูกเปิดเผยแก่คนอื่นเพื่อไม่ให้เราอับอายขายหน้า พอถึงวันอาคิเราะฮ์พระองค์จะถามผู้ศรัทธาเพื่อให้เขายอมรับแล้วพระองค์ก็จะอภัยให้กับเขา ก่อนที่พระองค์จะมอบสมุดบันทึกความดีให้เขาได้รู้สึกยินดีปรีดาอย่างที่สุดในตอนท้าย

ดังนั้น ในสามกลุ่มของมนุษย์ที่จะต้องพบกับอัลลอฮ์ในวันอาคิเราะฮ์ ขอให้เราเป็นหนึ่งในสองกลุ่มของชาวสวรรค์ ถ้าไม่ใช่อัส-สาบิกูน ก็อย่าพลาดที่จะเป็นอัศหาบุลยะมีน เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ถ้าต้องเป็นอัศหาบุชชิมาลก็ไม่มีทางที่จะรอดพ้นจากการลงโทษในนรก วัลอิยาซุบิลลาฮ์มินซาลิก

 

พี่น้องผู้ศรัทธาที่อัลลอฮ์ให้เกียรติทุกท่าน

เมื่อเราทราบแล้วว่าชาวมือขวาคือผู้ที่จะได้เป็นชาวสวรรค์ คำถามก็คือ เราต้องทำอย่างไรถึงจะได้เป็นชาวมือขวา แน่นอนว่าคุณลักษณะทั้งหมดของชาวสวรรค์ที่อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา พูดถึงในอัลกุรอานและที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พูดถึงในหะดีษของท่าน ล้วนเป็นคุณลักษณะของชาวมือขวาทั้งสิ้น กระนั้นก็มีอายะฮ์กลุ่มหนึ่งที่พูดถึงชาวมือขวาไว้อย่างน่าสนใจ อัลลอฮ์ตรัสไว้ในสูเราะฮ์ อัล-บะลัด ว่า

﴿ فَلَا ٱقۡتَحَمَ ٱلۡعَقَبَةَ 11 وَمَآ أَدۡرَىٰكَ مَا ٱلۡعَقَبَةُ 12 فَكُّ رَقَبَةٍ 13 أَوۡ إِطۡعَٰمٞ فِي يَوۡمٖ ذِي مَسۡغَبَةٖ 14 يَتِيمٗا ذَا مَقۡرَبَةٍ 15 أَوۡ مِسۡكِينٗا ذَا مَتۡرَبَةٖ 16 ثُمَّ كَانَ مِنَ ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَتَوَاصَوۡاْ بِٱلصَّبۡرِ وَتَوَاصَوۡاْ بِٱلۡمَرۡحَمَةِ 17 أُوْلَٰٓئِكَ أَصۡحَٰبُ ٱلۡمَيۡمَنَةِ 18 ﴾ [البلد: 11،  18] 

ความว่า “กระนั้นก็ดีเขาก็ยังไม่พากเพียรบนทางลำบาก และอันใดเล่าที่จะทำให้เจ้ารู้ว่าทางลำบากนั้นคืออะไร ? คือการปล่อยทาส หรือการให้อาหารในวันยากลำบากแห่งความหิวโหย แก่เด็กกำพร้าที่เป็นญาติใกล้ชิด หรือคนยากจนขัดสนที่มอมอยู่กับฝุ่นดิน แล้วเขาได้อยู่ในหมู่ผู้ศรัทธา และตักเตือนกันให้มีความอดทน และตักเตือนกันให้มีความเมตตา ชนเหล่านี้คือชาวมือขวา” (อัล-บะลัด 11-18)

อายะฮ์กลุ่มนี้พูดถึงพวกมุชริกีนที่ไม่ยอมศรัทธา เพราะพวกเขามองว่าการเป็นผู้ศรัทธานั้นต้องทนมีชีวิตบนเส้นทางแห่งความลำบาก ในขณะที่ผู้ศรัทธาจะต้องไม่มองว่าการทำตามคำสั่งของอัลลอฮ์เป็นเรื่องลำบาก สิ่งที่พวกมุชริกีนมองว่าเป็นความลำบากก็คือต้องปล่อยทาส ต้องบริจาคให้กับคนที่ยากจนขัดสน การดูแลเด็กกำพร้า การสั่งเสียกันให้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ให้มีความอดทนและมีความเมตตา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ในสายตาของผู้ที่ไม่ศรัทธาต่ออัลลอฮ์อาจจะมองว่าเป็นความลำบาก หรือในความรู้สึกของเราเองก็อาจจะมองว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่คุณลักษณะเหล่านี้แหละคือความดีที่จะทำให้เราได้เป็นชาวมือขวา และได้เข้าสวรรค์ของอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา เราจึงต้องพากเพียรอดทนฝ่าฟันบนเส้นทางแห่งความดีอย่างต่อเนื่องตลอดไป

ขอดุอาอ์ให้เราทุกคนได้เป็นชาวมือขวาและได้เป็นชาวสวรรค์ด้วยเทอญ อามีน ยาร็อบบัลอาละมีน  


[1] ดูการอธิบายในตัฟซีร อิบนุ กะษีร

[2] أي : ينقسم الناس يوم القيامة إلى ثلاثة أصناف : قوم عن يمين العرش ، وهم الذين خرجوا من شق آدم الأيمن ، ويؤتون كتبهم بأيمانهم ، ويؤخذ بهم ذات اليمين . قال السدي : وهم جمهور أهل الجنة . [تفسير ابن كثير]

 


วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2567

คุฏบะฮ์ - อะลัยกุม บิ สุนนะตี จงยืดมั่นสุนนะฮ์ฉัน - ซุฟอัม อุษมาน

 



ฟังคุฏบะฮ์นี้ได้จาก YouTube 
 
หรือบน SoundCloud



พี่น้องผู้ร่วมละหมาดญุมุอะฮ์ที่อัลลอฮ์เมตตาทุกท่าน

เรามีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้เราะห์มัต/ความเมตตาจากอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ที่ครอบคลุมชีวิตในทุกๆ ด้าน เราะห์มัตจากอัลลอฮ์ในหลายๆ รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นความเมตตาโดยตรงจากพระองค์ ผู้ทรงมีพระนามว่า อัร-เราะห์มาน/ผู้ทรงเมตตา อัร-เราะฮีม/ผู้ทรงปรานียิ่ง หรือความเมตตาที่พระองค์ประทานอัลกุรอานลงมาเป็นเราะห์มัตกับพวกเรา หรือความเมตตาจากอัลลอฮ์ที่พระองค์ทำให้เรามีเราะซูล/ศาสนทูตผู้ยิ่งใหญ่ ท่านนบี มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ได้รับการกล่าวขานได้ชื่อว่าเป็น เราะห์มะตัน ลิล อาละมีน ความเมตตาแห่งสากลโลก

เมื่อถึงเดือนเราะบีอุลเอาวัล พี่น้องมุสลิมส่วนใหญ่มักจะพูดถึงเมาลิดหรือการเกิดของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งอันที่จริงแล้วเดือนเราะบีอุลเอาวัลนี้ไม่ใช่เดือนที่มีเหตุการณ์การเกิดเพียงเหตุการณ์เดียวเท่านั้น ยังมีเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหรือชีวประวัติ/ซีเราะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในเดือนนี้อีกด้วย

ท่านอิบนุ กะษีร ได้อ้างถึงคำพูดของท่านอิบนุ อับบาส และท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุม ทั้งสองได้กล่าวว่า

عن جابر وابن عباس أنهما قالا : ولد رسول الله صلى الله عليه وسلم عام الفيل يوم الاثنين الثاني عشر من شهر ربيع الأول ، وفيه بعث ، وفيه عرج به إلى السماء ، وفيه هاجر ، وفيه مات .وهذا هو المشهور عند الجمهور ، والله أعلم ." السيرة النبوية " ( 1 / 199 ) .

ความว่า จากอิบนุ อับบาส และญาบิร ได้กล่าวว่า ท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ถือกำเนิดในปีช้าง วันจันทร์ที่สิบสองของเดือนเราะบีอุลเอาวัล เดือนนี้เป็นวันที่ท่านถูกแต่งตั้งเป็นเราะซูล เดือนที่ท่านขึ้นไปยังฟากฟ้า(เพื่อรับบัญญัติการละหมาด) เป็นเดือนที่ท่านอพยพ และเป็นเดือนที่ท่านเสียชีวิต และนี่คือทัศนะที่รู้กันในหมู่นักวิชาการส่วนใหญ่ วัลลอฮุอะอฺลัม (ตัฟซีร อิบนุ กะษีร 1/199)

 

พี่น้องครับ

การได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์วันเกิด​ วันเสียชีวิต วันแต่งตั้งเป็นเราะซูล หรือเหตุการณ์อื่นๆ ในชีวประวัติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ของเรา ย่อมมีความสำคัญระดับหนึ่งที่มุสลิมทุกคนจะต้องรู้ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การที่เราจะต้องรู้ว่าก่อนที่ท่านนบีจะเสียชีวิตไปท่านได้สั่งเสียอะไรเอาไว้บ้าง? ลองพิจารณาและเปรียบเทียบดู ถ้าสมมติว่ามีคนที่เรารักมากๆ คนหนึ่ง อาจจะเป็นพ่อแม่เราหรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีบุญคุณกับเรา ก่อนที่คนคนนั้นจะเสียชีวิต เขาเรียกเรามา แล้วพูดกับเราว่า ถ้าฉันตายไปแล้วก็ขอให้เราทำสิ่งนั้นทำสิ่งนี้ เราจะมีความรู้สึกอย่างไร เราจะปฏิบัติตามคำสั่งเสียของผู้มีพระคุณคนนั้นหรือเปล่า ลองเปรียบเทียบดู เช่นเดียวกัน เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะเสียชีวิต มีรายงานจากอัล-อิรบาฎ บิน สาริยะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ ว่าท่านนบีได้ให้คำสั่งเสียเอาไว้อย่างเข้มข้นแก่ประชาชาติของท่าน

عَنْ العِرْبَاضِ بْنِ سَارِيَةَ، قَالَ: "وَعَظَنَا رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَوْمًا بَعْدَ صَلَاةِ الغَدَاةِ مَوْعِظَةً بَلِيغَةً ذَرَفَتْ مِنْهَا العُيُونُ وَوَجِلَتْ مِنْهَا القُلُوبُ، فَقَالَ رَجُلٌ: إِنَّ هَذِهِ مَوْعِظَةُ مُوَدِّعٍ فَمَاذَا تَعْهَدُ إِلَيْنَا يَا رَسُولَ اللَّهِ؟ قَالَ:  «أُوصِيكُمْ بِتَقْوَى اللَّهِ وَالسَّمْعِ وَالطَّاعَةِ، وَإِنْ عَبْدٌ حَبَشِيٌّ، فَإِنَّهُ مَنْ يَعِشْ مِنْكُمْ يَرَى اخْتِلَافًا كَثِيرًا، وَإِيَّاكُمْ وَمُحْدَثَاتِ الأُمُورِ فَإِنَّهَا ضَلَالَةٌ، فَمَنْ أَدْرَكَ ذَلِكَ مِنْكُمْ فَعَلَيْهِ بِسُنَّتِي وَسُنَّةِ الخُلَفَاءِ الرَّاشِدِينَ المَهْدِيِّينَ، عَضُّوا عَلَيْهَا بِالنَّوَاجِذِ» رواه أبو داود (4607)، والترمذي (2676) وقال " هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ ".

ความว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ให้โอวาทแก่พวกเราในเช้าวันหนึ่งหลังจากละหมาดศุบห์เสร็จแล้ว เป็นการให้โอวาทที่เข้มข้นยิ่งนัก ผู้ฟังต่างก็หลั่งน้ำตาและหัวใจทั้งหลายต่างก็สะทกสะท้าน จนมีคนผู้หนึ่งรำพึงออกมาว่า แท้จริง นี่เป็นโอวาทคำสั่งเสียของผู้ที่จะร่ำลาชีวิตนี้ ดังนั้นท่านต้องการฝากฝังสิ่งใดกับพวกเราโอ้ท่านเราะซูลุลลอฮ์? ท่านนบีตอบว่า “ฉันขอสั่งเสียพวกท่านให้ยำเกรงต่ออัลลอฮ์ จงเชื่อฟังและปฏิบัติตามผู้นำแม้ว่าเขาจะมาจากเชื้อสายทาสอบิสสิเนียผิวดำก็ตาม เพราะแท้จริงแล้ว ใครก็ตามที่มีชีวิตหลังจากฉัน เขาจะได้เห็นการแตกแยกอย่างมากมาย พวกท่านทั้งหลายจงระวังการทำอุตริกรรมในศาสนา เพราะมันคือความหลงทางหลงผิด ใครที่ทันได้เจอกับเหตุการณ์เหล่านั้นก็จงยึดมั่นกับสุนนะฮ์/แนวทางของฉัน และแนวทางของบรรดาเคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรมที่ได้รับการชี้นำ จงยึดมั่นให้แน่นเสมือนว่าได้กัดมันไว้ด้วยฟันกราม” (อบู ดาวูด 4607 อัต-ติรมิซีย์ 2676 ท่านกล่าวว่าเป็นหะดีษ หะสัน เศาะฮีห์)

 

แน่นอนว่า คำสั่งเสียของคนใกล้ตาย ย่อมต้องกลั่นกรองมาจากประสบการณ์และมุมมองของท่านทั้งชีวิต ให้ประชาชาติจดจำและยึดปฏิบัติอย่างมั่นคง ท่านนบีเปรียบเทียบว่าให้ยึดมั่นเหมือนกัดไว้ด้วยฟันกราม เพราะลำพังการกัดด้วยฟันหน้าอาจจะไม่แข็งแรงพอ ต้องกัดให้แน่นด้วยฟันกราม สุบหานัลลอฮ์

 

พี่น้องครับ

สุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็คือวิถีชีวิตของท่าน ทั้งหลักความเชื่อ อิบาดะฮ์ มารยาท ความสัมพันธ์ต่างๆ และอื่นๆ เป็นสิ่งที่มุสลิมทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม การศรัทธาของใครก็ตามถ้ายังไม่ยอมรับวิถีทางตามแบบอย่างสุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็แสดงว่ายังไม่ใช่การศรัทธาที่แท้จริง อัลลอฮ์ตรัสไว้ว่า

﴿ فَلا وَرَبِّكَ لا يُؤْمِنُونَ حَتَّى يُحَكِّمُوكَ فِيمَا شَجَرَ بَيْنَهُمْ ﴾ (النساء: 65)

ความว่า “ขอสาบานด้วยพระเจ้าของเจ้า พวกเขาจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าพวกเขาจะใช้การตัดสินชี้ขาดของเจ้าในเรื่องที่พวกเขาขัดแย้งกัน” (อัน-นิสาอ์ 65)

 

สุนนะฮ์/แบบอย่างของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือทางรอดจากความสับสนอลหม่านท่ามกลางความขัดแย้งและอุตริกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นอย่างดาษดื่นในสังคม

การปฏิบัติตามสุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือหลักฐานชี้ชัดว่าเรารักอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา 

﴿قُلْ إِن كُنتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ وَيَغْفِرْ لَكُمْ ذُنُوبَكُمْ ۗ وَاللَّهُ غَفُورٌ رَّحِيمٌ ﴾ (آل عمران: 31)

ความว่า “จงกล่าวเถิด(มุหัมมัด) หากพวกเจ้ารักอัลลอฮ์ ก็จงปฏิบัติตามฉัน แล้วอัลลอฮ์ก็จะรักพวกเจ้า และอภัยโทษให้กับบาปพวกเจ้า อัลลอฮ์ทรงอภัยยิ่ง ทรงเมตตายิ่ง” (อาล อิมรอน 31)

 

เพราะฉะนั้น ขอให้เราได้ตระหนักอยู่เสมอว่า ในชีวิตของเรา สุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม คือมันฮัจญ์ คือแนวทางการใช้ชีวิตในแต่ละวัน คือเส้นทางที่เราจะใช้เป็นระบบและเป็นทางเดินกลับไปหาอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ให้จำเอาไว้ว่า อะไรก็ตามที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้สั่งใช้ให้เราทำ เราต้องพยายามให้มากที่สุดที่จะปฏิบัติตามให้ได้ มากน้อยแค่ไหนเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอให้ได้พยายามและตั้งใจจริงด้วยความอิคลาศที่จะปฏิบัติสุนนะฮ์ของท่าน และอะไรก็ตามที่ท่านห้ามและเตือนไม่ให้เราทำ ก็จะต้องละทิ้งและหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุดโดยทันที อัลลอฮ์ได้ตรัสว่า 

﴿وَمَا آتَاكُمُ الرَّسُولُ فَخُذُوهُ وَمَا نَهَاكُمْ عَنْهُ فَانتَهُوا ۚ وَاتَّقُوا اللَّهَ ۖ إِنَّ اللَّهَ شَدِيدُ الْعِقَابِ﴾ (الحسر:7) أي: مهما أمركم به فافعلوه، ومهما نهاكم عنه فاجتنبوه، فإنه إنما يأمر بخير وإنما ينهى عن شر. [الطبري]

ความว่า “อะไรก็ตามที่เราะซูลได้นำมาให้พวกเจ้าทำก็จงตอบรับคำสั่งนั้น และอะไรก็ตามที่เขาห้ามพวกเจ้าก็จงละทิ้งมันเสีย จงยำเกรงต่ออัลลอฮ์ แท้จริง อัลลอฮ์ทรงหนักหน่วงในการลงโทษ” (อัล-หัชร์ 7)

 

นี่คือวิถีของคนที่เป็นมุสลิมที่กล่าวอ้างว่าเป็นประชาชาติของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

 

พี่น้องครับ

อันที่จริงแล้ว เราจะเห็นว่าชีวิตของมุสลิมทุกกระเบียดนิ้วมีตัวอย่างจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยกันทั้งสิ้น ครั้งหนึ่งซัลมาน อัล-ฟาริสีย์ ได้เล่าว่า

عن سلمان الفارسي: قالَ لنا المُشْرِكُونَ إنِّي أرَى صاحِبَكُمْ يُعَلِّمُكُمْ حتَّى يُعَلِّمَكُمُ الخِراءَةَ، فقالَ: أجَلْ إنَّه نَهانا أنْ يَسْتَنْجِيَ أحَدُنا بيَمِينِهِ، أوْ يَسْتَقْبِلَ القِبْلَةَ، ونَهَى عَنِ الرَّوْثِ والْعِظامِ وقالَ: لا يَسْتَنْجِي أحَدُكُمْ بدُونِ ثَلاثَةِ أحْجارٍ. (رواه مسلم)

ความว่า พวกมุชริกีนได้พูดกับเราว่า ฉันเห็นสหายของเจ้า(หมายถึงท่านนบี)สอนพวกเจ้าทุกอย่างเลยแม้กระทั่งการชำระเวลาขับถ่ายด้วย ซัลมานจึงกล่าวตอบพวกเขาว่า ใช่ ท่านนบีห้ามไม่ให้พวกเราชำระการขับถ่ายด้วยมือขวา หรือหันไปทางกิบละฮ์เวลาขับถ่าย ท่านห้ามไม่ให้เราใช้มูลสัตว์แห้งหรือกระดูกสัตว์ในการเช็ดถูชำระ ท่านบอกว่า “พวกท่านแต่ละคนเวลาใช้หินเช็ดถูอย่าให้น้อยกว่าสามครั้ง” (บันทึกโดยมุสลิม)

 

ในอิสลามมีบัญญัติต่างๆ ที่มุสลิมสามารถปฏิบัติใช้ได้อย่างละเอียดแม้กระทั่งการเข้าออกห้องน้ำซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่หลายคนอาจจะมองข้ามไป นับประสาอะไรกับเรื่องอื่นๆ ที่ใหญ่กว่าและสำคัญกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศรัทธา การทำอิบาดะฮ์ และมารยาทต่างๆ ก็มีอยู่อย่างพร้อมมูลในแบบอย่างที่เป็นสุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

 

พี่น้องที่อัลลอฮ์รักและเมตตาทุกท่านครับ

นับเป็นความเมตตาอันยิ่งใหญ่จากอัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ที่ให้เราเป็นอุมมะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ผู้ซึ่งเป็นแบบอย่างให้กับคนที่หวังจะได้รับผลบุญจากอัลลอฮ์และหวังจะมีชีวิตที่ดีในวันอาคิเราะฮ์ ดังที่อัลลอฮ์ สุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสว่า

{لَقَدْ كَانَ لَكُمْ فِي رَسُولِ اللهِ أُسْوَةٌ حَسَنَةٌ لِمَنْ كَانَ يَرْجُو اللهَ وَاليَوْمَ الآَخِرَ وَذَكَرَ اللهَ كَثِيرًا} [الأحزاب:21]

ความว่า “ขอสาบาน แท้จริงแล้ว ในตัวท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์นั้นมีแบบอย่างที่ดียิ่ง สำหรับผู้ที่มีความหวังในอัลลอฮ์และวันปรโลก และเขายังรำลึกถึงอัลลอฮ์อย่างมากมาย” (อัล-อะห์ซาบ 21)

 

ดังนั้นเราจะเห็นบรรดาเศาะหาบะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พยายามอย่างมากที่จะศึกษาเรียนรู้สุนนะฮ์ของท่าน พร้อมทั้งให้ความสำคัญในการปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเท่าที่สามารถจะทำได้ มีตัวอย่างมากมายจากอดีตที่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ ที่น่าสนใจมากตัวอย่างหนึ่งจากท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ เล่าว่า

عن جابر بن عبد الله رضي الله عنهما، قال: بلغني حديثٌ عن رجل سمعه من رسول الله صلى الله عليه وسلم فاشتريتُ بعيرًا (جملاً)، ثم شَدَدْتُ عليه رَحْلي، فَسِرْتُ إليه شهرا، حتَى قَدِمتُ عليه الشَّام فإذا عبد الله بن أُنيس، فقُلت للبوَّاب: قل له: جابر على الباب، فقال: ابن عبد الله؟ قلت: نعم، فخرج يَطَأُ ثوبه فَاعْتَنَقَنِي، وَاعْتَنَقْتُهُ، فقلت: حَدِيثًا بَلَغَنِي عَنْكَ أَنَّكَ سمعتَه من رسول الله صلى الله عليه وسلم في القِصَاص، فخشيتُ أن تموت، أو أموت قبل أنْ أسْمَعَه، قال: سمعتُ رسول الله صلى الله عليه وسلم يقول: «يُحْشَرُ الناسُ يوم القيامة -أو قال: العباد- عُراةً غُرْلًا بُهْمًا» (ليس معهم شيء) ... إلخ الحديث

ความว่า จากท่านญาบิร บิน อับดุลลอฮ์​ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา เล่าว่า ฉันได้ยินว่ามีหะดีษหนึ่งจากเศาะหาบะฮ์คนหนึ่งของท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ฉันจึงซื้ออูฐมาตัวหนึ่งแล้วเตรียมเสบียงไว้อย่างพร้อมสรรพ จากนั้นออกเดินทางเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนจนกระทั่งถึงเมืองชาม ปรากฏว่าชายคนนั้นที่ฉันตามหาคือ อับดุลลอฮ์ บิน อุนัยส์ เมื่อถึงประตูทางเข้าฉันก็บอกกับยามว่า จงบอกเขาว่าญาบิรรออยู่ที่หน้าประตู เขาถามว่า (ญาบิร)บุตรของอับดุลลอฮ์หรือ? ฉันตอบว่าใช่ อับดุลลอฮ์ บิน อุนัยส์ จึงออกมาหาฉันในสภาพที่เร่งรีบจนเหยียบผ้านุ่งของตัวเอง เขากอดฉันและฉันก็กอดเขา ฉันบอกกับเขาว่า ฉันได้ยินหะดีษหนึ่งจากท่านว่าท่านเคยได้ยินมาจากท่านเราะซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ในเรื่องที่เกี่ยวกับการกิศอศ ฉันเลยกลัวว่าท่านหรือฉันจะตายก่อนที่ฉันจะได้รับฟังหะดีษนี้ ท่านอับดุลลอฮ์จึงเล่าหะดีษดังกล่าวให้ท่านญาบิรฟัง ต้นหะดีษมีว่า “มนุษย์ทั้งหลายในวันกิยามะฮ์จะถูกต้อนชุมนุมในสภาพเปลือยเปล่ายังไม่ได้ขลิบเหมือนตอนแรกเกิดไม่มีสิ่งใดติดตัวไปเลย...” จนจบหะดีษที่ยาวเหยียด (บันทึกโดยอะห์มัด เป็นหะดีษหะสัน)

https://hadeethenc.com/ar/browse/hadith/8319

 

สุบหานัลลอฮ์ แค่เพียงเพื่ออยากที่จะเรียนรู้แค่หะดีษเดียว แต่ยอมลงทุนซื้อพาหนะเพื่อใช้ในการเดินทางระยะเวลาเป็นเดือน จนได้รับฟังหะดีษของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม แค่บทเดียว มาชาอ์อัลลอฮ์

ในฐานะอุมมะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เราได้พยายามมากแค่ไหนแล้วที่จะเรียนรู้และปฏิบัติตามสุนนะฮ์ของท่านให้ได้มากที่สุดและดีที่สุด

มีคำพูดของอุละมาอ์บางท่านที่กระตุ้นให้เราศึกษาและปฏิบัติตามสุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เช่นท่าน ซุฟยาน อัษเษารีย์ ได้กล่าวว่า

قال سفيان الثوري [ت 161هـ] رحمه الله : إن استطعت ألا تحكَ رأسك إلا بأثر فافعل.

ความว่า ถ้าท่านทำได้เฉกเช่นว่า จะไม่เกาหัวนอกจากต้องมีแบบอย่างจากหลักฐาน ถ้าทำได้ถึงขนาดนั้นก็จงทำเสีย

 

เป็นการเปรียบเทียบว่า ถ้าหากทุกๆ อย่างที่เราทำในชีวิตประจำวันสามารถอ้างอิงไปยังสุนนะฮ์ได้ก็ให้ทำเช่นนั้นเสีย เพราะนี่คุณค่าที่แท้จริงและเป็นเครื่องหมายเราว่ารักท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จริงๆ เป็นความมุ่งมั่นที่มุสลิมทุกคนควรจะต้องมีว่าทุกกระเบียดนิ้วของเขาขอให้ดำเนินตามวิถีของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม

ท่านซุฟยาน อัษ-เษารีย์ ยังได้กล่าวอีกว่า

ما بلغني عن رسول الله صلى الله عليه وسلم حديث قطّ إلا عملت به ولو مرة. [تهذيب السير 696/2، حياة السلف 58 ]

ความว่า ไม่มีหะดีษใดที่ฉันได้ยินว่าเป็นของท่านเราะซูลุลลอฮ์ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เว้นแต่ฉันต้องปฏิบัติมันจริงๆ ให้ได้ ไม่ว่าอย่างน้อยแค่สักครั้งหนึ่งก็ตาม (ตะฮ์ซีบ อัส-สิยัร 2/696, หะยาต อัส-สะลัฟ 58)

 

ดังนั้น จึงขอเชิญชวนให้เราได้มาร่วมกันศึกษาสุนนะฮ์ของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วยความตั้งใจที่อยากเอาแบบอย่างของท่านมาปฏิบัติใช้ในชีวิตของเรา

อัลหัมดุลิลลาฮ์ ปัจจุบันนี้มีตำราหะดีษมากมายที่เราสามารถใช้เป็นคู่มือในการศึกษาสุนนะฮ์ของท่าน เบื้องต้นอย่าง 40 หะดีษ หรือ ริยาฎ อัศ-ศอลิฮีน ของอิมามอัน-นะวะวีย์ ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีในการเรียนรู้สุนนะฮ์แบบอย่างวิถีชีวิตของนบีผู้เป็นที่ของเรา ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม อินชาอ์อัลลอฮ์