มารู้จักพระเจ้ากันเถิด
เหตุใดมนุษย์จำเป็นต้องรู้จักพระเจ้า?
มนุษย์จำเป็นต้องรู้จักพระเจ้าด้วยเหตุผลหลายประการที่สำคัญ
ซึ่งเชื่อมโยงกับการดำรงชีวิตในโลกนี้และชีวิตหลังความตาย
- เพื่อรู้เป้าหมายและหนทางในการกลับคืนสู่พระองค์ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเอง
และเมื่อหมดลมหายใจก็จะจากโลกนี้ไป
การรู้จักพระเจ้าทำให้เราเข้าใจว่าเราจะต้องกลับไปหาผู้ทรงสร้างเรามา
ชีวิตในโลกนี้จึงเป็นการเตรียมตัวสำหรับชีวิตนิรันดร์ในโลกหลังความตาย
การรู้จักพระเจ้าช่วยให้มนุษย์รู้ว่าเป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ใด และรู้วิธีการที่จะกลับไปหาพระองค์
เมื่อได้ยินข่าวการตาย ศาสนาอิสลามสอนให้กล่าวว่า
إنا لله وإنا إليه راجعون
อินนาลิลลาฮ์
วะอินนา อิลัยรอญิอูน
"แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮ์
และยังพระองค์ที่เราจะต้องกลับไป"
นอกจากนี้ การละหมาดยังสอนให้มนุษย์วิงวอนขอ
"ทางที่เที่ยงตรง" เพื่อนำทางกลับไปหาพระองค์
- เพื่อความรอดพ้นและการป้องกันจากการลงโทษ การรู้จักพระเจ้าช่วยให้มนุษย์สามารถเลือกหนทางที่นำไปสู่ความรอดปลอดภัยจากการถูกลงโทษในโลกหน้าได้
- เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการพึ่งพิงและหาที่ยึดเหนี่ยว มนุษย์มีคุณสมบัติที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่
และต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งพิง เนื่องจากมนุษย์อ่อนแอ
และกลัวสิ่งสองอย่างคือ กลัวไม่ปลอดภัยและกลัวไม่มีกิน อย่างไรก็ตาม
หากมนุษย์ไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง อาจจะไปพึ่งพาสิ่งที่ตนเองคิดว่าจะคุ้มครองได้
เช่น ตะกรุด เครื่องรางของขลัง หรือการสะสมทรัพย์สินด้วยความโลภ
แต่เมื่อรู้จักพระเจ้า
มนุษย์จะเชื่อว่าพระองค์คือผู้คุ้มครองและผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
ทำให้ไม่ต้องกลัวเรื่องความอดอยากหรือต้องพึ่งพาสิ่งอื่นใด
- เพื่อเข้าใจสถานะของตนเองในฐานะผู้ถูกสร้างและเป็นบ่าวของพระองค์ การรู้จักพระเจ้าจะช่วยให้มนุษย์วางตัวได้อย่างถูกต้อง
โดยเข้าใจว่าตนเองเกิดมาในฐานะบ่าวที่ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์
การทำตามคำสั่งของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นศาสนกิจหรือการดำเนินชีวิตประจำวัน
หากทำด้วยความศรัทธาและตามแบบอย่างที่ถูกต้อง ก็จะกลายเป็นการแสดงความเคารพภักดีต่อพระองค์และได้รับผลตอบแทนที่ดี
- เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนและได้รับผลตอบแทนที่ดีในชีวิต คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า
﴿ إِنَّ ٱلۡإِنسَٰنَ لَفِي خُسۡرٍ 2 إِلَّا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ
وَعَمِلُواْ ٱلصَّٰلِحَٰتِ ﴾ [العصر: 2،
3]
"แท้จริงมนุษย์เป็นผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน
เว้นแต่ผู้ที่ศรัทธาและกระทำความดี"
การศรัทธาในพระเจ้าพร้อมกับการกระทำความดี
จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากมนุษย์กระทำความดีด้วยเจตนาเพื่อพระองค์
การงานนั้นจะถูกตอบแทนและถือว่าเป็นการถวายแด่พระเจ้า
แม้แต่การคิดดีก็ได้รับรางวัลตอบแทนหนึ่งความดี
และการคิดชั่วแล้วละทิ้งความชั่วก็ยังได้รับหนึ่งความดี
การมีศรัทธาในพระเจ้าจึงไม่ทำให้ขาดทุน แต่การไม่มีศรัทธาต่างหากที่ทำให้ขาดทุน
เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะใช้ชีวิตเพื่อใครและอย่างไร
- เพื่อยกระดับจิตวิญญาณและชำระล้างจิตใจ การรู้จักคุณสมบัติและพระนามของพระเจ้า
เช่น การเป็นผู้ให้อภัย, ผู้ทรงเมตตา,
ผู้ทรงกรุณาปรานี
จะช่วยให้มนุษย์ได้นำคุณสมบัติเหล่านี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต เช่น
การให้อภัยผู้อื่นเมื่อถูกทำให้โกรธ
หรือการหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้
การกระทำเช่นนี้เป็นการยกระดับจิตวิญญาณและทำให้จิตใจบริสุทธิ์และสูงส่งขึ้น
ซึ่งนำไปสู่การเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น
มนุษย์จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?
มนุษย์จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไรนั้น
สามารถพิจารณาได้จากหลายแง่มุมดังนี้:
- โดยคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และต้องการที่ยึดเหนี่ยว มนุษย์มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล และต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นสรณะ
เนื่องจากมนุษย์อ่อนแอและกลัวสิ่งสองอย่างคือ กลัวไม่ปลอดภัยและกลัวไม่มีกิน
ก่อนที่วิญญาณมนุษย์จะเข้ามาจุติในร่าง
พระองค์ทรงให้ดวงวิญญาณได้ยืนยันกับพระองค์ก่อนว่า
พระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าของดวงวิญญาณทั้งหลาย
- ผ่านการแนะนำตัวของพระเจ้าและศาสดาผู้เผยแผ่ พระเจ้าได้แนะนำพระองค์เองมาโดยตลอด ตั้งแต่มีมนุษย์บนโลกใบนี้
และมนุษย์ก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักพระเจ้ามาโดยตลอด พระองค์ได้ทรงส่งศาสดา
(นบี)
มาเพื่อบอกให้มนุษย์ได้รู้ว่าพระองค์เป็นผู้คุ้มครองและเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
ศาสดาทั้งหลาย เช่น โมเสส, พระเยซู,
และท่านนบีมุฮัมมัด
ล้วนมายืนยันหลักศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ศาสดาไม่ได้คิดคำสอนขึ้นมาเอง
แต่พระเจ้าเป็นผู้บอกให้ศาสดามาสั่งสอนมนุษย์
- จากการศึกษาคัมภีร์และวจนะของพระเจ้า คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวถึงการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวและคุณสมบัติของพระองค์
อัลกุรอานซึ่งเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ประทานให้แก่มนุษย์ผ่านท่านนบีมุฮัมมัด
ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ระบุว่า
﴿ قُلۡ هُوَ ٱللَّهُ أَحَدٌ 1 ٱللَّهُ ٱلصَّمَدُ 2 ﴾ [الإخلاص: 1، 2]
"จงกล่าวเถิด
พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียว พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของสิ่งทั้งหมด"
หรือแม้กระทั่งคัมภีร์โบราณบางเล่ม เช่น
คัมภีร์พระเวท, พระไตรปิฎก (อรรถกถา), ไบเบิล
ก็ล้วนมีการกล่าวถึงการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวและคุณสมบัติของพระองค์ เช่น คัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงพระเจ้าว่าเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และสิ่งบนโลกนี้
และไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก คัมภีร์พระเวท ซึ่งมาก่อนศาสนาพุทธ
ก็กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียว
ไม่มีผู้ใดสมควรได้รับการกราบไหว้นอกจากพระองค์และโลกนี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากพระองค์
แม้ว่าจะมีส่วนอื่นๆ ในคัมภีรเหล่านี้ที่ถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลาและยุคสมัยก็ตาม
นอกจากอัลกุรอานที่ยังคงรักษาความเที่ยงตรงไว้ตลอดไป
- โดยการเรียนรู้และเข้าใจคุณสมบัติและพระนามของพระองค์ การรู้จักพระเจ้าไม่ได้หมายถึงแค่การเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่
แต่ต้อง เชื่อในคุณสมบัติและพระนามของพระองค์ทั้งหมด การรู้จักคุณสมบัติของพระเจ้า
เช่น ทรงเป็นผู้ทรงประเสริฐ, ผู้ทรงให้อภัย,
ผู้ทรงกรุณาปรานี, ผู้ทรงเมตตา, ผู้ทรงเห็น,
ผู้ทรงได้ยิน, ผู้ทรงรอบรู้
จะช่วยให้มนุษย์สามารถนำคุณสมบัติเหล่านั้นมาใช้ในการดำเนินชีวิต
การนำคุณสมบัติของพระองค์มาใช้ เช่น การให้อภัยผู้อื่น
หรือการช่วยเหลือผู้ยากไร้
เป็นการยกระดับจิตวิญญาณและทำให้จิตใจบริสุทธิ์และสูงส่งขึ้น
- จากการสังเกตสิ่งถูกสร้างและระบบระเบียบในจักรวาล การมีอยู่ของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอาคารสูงหลายสิบชั้น
แสดงถึงความมั่งคั่งและความสามารถของผู้เป็นเจ้าของ
เช่นเดียวกับโลกและจักรวาลที่มีระบบระเบียบ การโคจรของดวงดาว และบรรยากาศ 7
ชั้นที่คอยปกป้องมนุษย์
ล้วนเป็นหลักฐานโดยปริยายที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง
มนุษย์สามารถประดิษฐ์ดาวเทียมที่มองเห็นความเคลื่อนไหวบนโลกได้
พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ก็ย่อมมองเห็นการกระทำของมนุษย์ได้เช่นกัน
คุณลักษณะของพระเจ้า
ในการอธิบายของศาสนาอิสลาม พระเจ้า
(อัลลอฮ์) มีคุณลักษณะและพระนามอันงดงามมากมาย
ซึ่งเป็นที่มาของการรู้จักพระองค์สำหรับมนุษย์
การรู้จักพระเจ้าไม่ได้หมายถึงแค่การเชื่อว่าพระองค์มีอยู่ แต่ต้อง เชื่อในคุณสมบัติและพระนามของพระองค์ทั้งหมด คุณลักษณะสำคัญของพระเจ้าในการอธิบายของศาสนาอิสลาม
ตัวอย่างบางส่วน อาทิ:
- ความเป็นหนึ่งเดียว
(เตาฮีด):
- พระองค์ทรงเป็น หนึ่งเดียว (อะฮัด) ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์
และพระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของสิ่งทั้งหมด
- เตาฮีด หมายถึง การรวมให้เป็นหนึ่ง คือการเชื่อว่าอัลลอฮ์เท่านั้นที่เป็นพระเจ้าสูงสุด
ควรค่าแก่การเคารพสักการะ เป็นผู้ทรงสร้าง ทรงบริหาร ดูแล
และคุ้มครองทุกสิ่ง และเป็นผู้ที่มนุษย์ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม
- ผู้ทรงสร้างและผู้ดูแลจักรวาล:
- พระองค์ทรงเป็น ผู้สร้าง (อัล-คอลิก) ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และสิ่งบนโลกนี้
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงกำเนิดสิ่งทั้งปวง และเป็น ผู้ที่ทรงกำหนดกฎระเบียบและนำทางทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงกำหนดไว้
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ดูแล (ร็อบบ์)
หรือผู้ทรงอภิบาลของโลกทั้งหลาย ไม่ใช่แค่โลกนี้ใบเดียว
แต่รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งบนดิน ในน้ำ และดาวอื่นๆ อีกแสนล้านดวง
- โลกนี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากพระองค์ และยังคงอยู่ตราบใดที่พระองค์ทรงรักษามันไว้
- ผู้ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติและจินตนาการของมนุษย์:
- พระองค์ไม่เหมือนกับสิ่งใดที่มองเห็นได้ มนุษย์จึงไม่สามารถจินตนาการ
วาดรูป หรือปั้นรูปพระเจ้ามาเคารพสักการะได้
- พระองค์ ทรงไม่มีลูกหรือพ่อ และไม่จำเป็นต้องมีคู่ครองเพื่อมีกำเนิด
การที่พระองค์ให้ท่านนบีอีซา (พระเยซู) เกิดมาโดยไม่มีพ่อ ก็เพื่อแสดงถึง อำนาจของพระองค์ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ
- พระองค์ อยู่เหนือกาลเวลา
และ ไม่พึ่งพาสิ่งใด ในขณะที่สรรพสิ่งทั้งหลายพึ่งพาพระองค์
- คุณสมบัติแห่งการมีอยู่และความสมบูรณ์:
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงสัตย์จริง (ผู้รักษาคำมั่นสัญญา)
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงชีวิน (ผู้ทรงชีวิต) และ ไม่มีวันตาย พระองค์จะยังคงอยู่เพียงผู้เดียวเมื่อโลกสิ้นสลาย
- พระองค์ทรง ดำรงอยู่ได้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ได้อย่างไร
- คุณสมบัติแห่งความรักและความเมตตา:
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงกรุณาปรานี (อัร-เราะฮ์มาน) และ ผู้ทรงเมตตา
(อัร-เราะฮีม) เสมอ
- ความกรุณาปรานีของพระองค์เห็นได้ในโลกนี้
ที่พระองค์ประทานแสงแดด น้ำฝน อาหารให้แก่ทุกชีวิต ส่วน ความเมตตาของพระองค์
(อัร-เราะฮีม) จะประทานให้แก่ดวงวิญญาณที่มีความศรัทธาในโลกหน้า เพื่อเป็นผลตอบแทน
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงให้อภัย (อัล-ฆ็อฟฟาร) เสมอ และ จะพยายามหาทางให้อภัยความผิดทุกอย่าง ของมนุษย์
เว้นแต่การชิริกหรือบูชาสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์
หากมนุษย์บนโลกนี้ไม่ทำผิดเลย
พระองค์ก็จะสร้างมนุษย์รุ่นใหม่ขึ้นมาเพื่อให้มีผู้ที่ทำผิด
เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงให้อภัย
- คุณสมบัติแห่งการรับรู้และการตัดสิน:
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงเห็น (อัล-บะซีร) ทุกการกระทำของมนุษย์
เปรียบได้กับการที่มนุษย์สร้างดาวเทียมที่โคจรรอบโลกและมองเห็นความเคลื่อนไหวบนโลกได้
พระองค์ผู้สร้างมนุษย์ก็ย่อมมองเห็นการกระทำของมนุษย์ได้เช่นกัน
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงได้ยิน (อัส-สะมีอฺ) แม้กระทั่งเสียงกระซิบในความคิดของมนุษย์
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงรอบรู้ (อัล-อะลีม)
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงคุ้มครอง (อัล-ฮาฟิซ)
- พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงเห็นคุณค่า (อัช-ชะกูร) หมายถึง ผู้ที่เห็นคุณค่าในการงานของบ่าว
หากมนุษย์ทำความดีด้วยเจตนาเพื่อพระเจ้า พระองค์จะทรงตอบแทน
แม้กระทั่งการคิดดีก็ได้รับรางวัล หากเจตนาทำดี
แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติก็ได้รับผลบุญแล้วหนึ่งความดี และหากทำดี จะได้รับผลบุญ
10 เท่า หากคิดชั่วแต่ไม่ทำ พระองค์ก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นความดีหนึ่งอย่าง
อัลลอฮ์คือพระเจ้าที่แท้จริง
อัลลอฮ์ คือพระนามเฉพาะของพระเจ้าในศาสนาอิสลาม
และการกล่าวว่า "อัลลอฮ์คือพระเจ้าที่แท้จริง" หมายถึงการยืนยันถึง
- ความเป็นหนึ่งเดียวและสูงสุด: มีเพียง อัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์
และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนหรือเป็นหุ้นส่วนกับพระองค์ พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว
โดยไม่มีที่สอง
- ผู้ทรงสร้างและดูแลทุกสรรพสิ่ง:
พระองค์คือ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์
แผ่นดินโลก และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดพระองค์ทรง บริหาร ดูแล และคุ้มครอง ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง
รวมถึง ประทานปัจจัยยังชีพ ให้แก่มนุษย์และสรรพสัตว์
พระองค์ทรงเป็น ผู้กำหนดกฎระเบียบและนำทางทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงกำหนด
- ผู้ทรงอยู่เหนือขีดจำกัดใดๆ:
ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ มนุษย์จึงไม่สามารถจินตนาการ
วาดรูป หรือปั้นรูปเคารพเพื่อบูชาพระองค์ได้ พระองค์ ดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง และทรงอยู่เหนือกาลเวลา
โดยไม่มีวันตายพระองค์ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งใด ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งต้องพึ่งพาพระองค์
- ผู้สมควรแก่การเคารพสักการะและเชื่อฟังแต่เพียงผู้เดียว:
การศรัทธาในอัลลอฮ์ในฐานะพระเจ้าที่แท้จริง
หมายถึงการมอบความเคารพสักการะและการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว
พระองค์ทรงเป็น สิ่งยึดเหนี่ยว (สรณะ) แต่เพียงผู้เดียว ที่มนุษย์ต้องการ
คุณค่าจากการศรัทธาต่ออัลลอฮ์
พระเจ้าที่แท้จริง
การศรัทธาในพระเจ้า (อัลลอฮ์)
ในศาสนาอิสลามนำมาซึ่งประโยชน์และคุณค่ามากมายต่อชีวิตมนุษย์
ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
คุณประโยชน์เหล่านี้ช่วยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข มีหลักยึดมั่น
และเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตนิรันดร์
คุณประโยชน์จากการศรัทธาในพระเจ้าที่แท้จริง
ได้แก่:
- ความรอดพ้นและจุดมุ่งหมายของชีวิต
- การรู้จักพระเจ้าทำให้มนุษย์ รู้ว่าตนเองมีสถานะเป็นบ่าวที่ต้องเชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งเป็นนาย
- มนุษย์จะเข้าใจว่าตนไม่ได้เกิดมาเอง
และวันหนึ่งจะต้องจากโลกนี้ไป โดยมี จุดหมายปลายทางคือการกลับไปหาพระเจ้าผู้ทรงสร้าง
- การศรัทธาทำให้มนุษย์
รู้จักวิธีการกลับไปหาพระเจ้า และรู้ว่าในที่สุดจะต้องกลับไปยืนต่อหน้าพระองค์เพื่อตอบคำถามในการกระทำที่ผ่านมา
- นำไปสู่ ความรอดปลอดภัยจากการถูกลงโทษในโลกหน้า และเป็น ทางรอดที่แท้จริงในโลกหน้า
- ความสงบทางจิตใจและหลักยึดมั่น
- มนุษย์จะมีความเชื่อมั่นในคุณสมบัติของพระเจ้า
ซึ่งทำให้ ดำเนินชีวิตด้วยความสุข และ ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวหรือกังวลต่อสิ่งใดๆ
- ไม่จำเป็นต้อง เกรงกลัวผู้ใด หรือแสวงหาเครื่องรางของขลัง ตะกรุด
มาคุ้มครอง เพราะเชื่อว่า พระเจ้าทรงคุ้มครอง อยู่แล้ว
- ไม่จำเป็นต้อง กลัวว่าจะอดตาย เพราะพระเจ้าทรงเป็น ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
- การศรัทธาช่วยให้มี หลักยึดมั่นและสิ่งควบคุมใจ มนุษย์ทุกคนมีความต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นสรณะ
และพระเจ้าทรงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวแต่เพียงองค์เดียว
- การยกระดับจิตวิญญาณและผลตอบแทน
- การศรัทธาและการกระทำความดี
จะทำให้การงานในชีวิตประจำวัน กลายเป็นผลบุญ แม้เพียงแค่คิดดีก็ได้รับผลบุญแล้วหนึ่งความดี และหากนำเจตนาดีไปปฏิบัติ
จะได้รับผลบุญตอบแทนถึง 10 เท่า
- ในทางกลับกัน หากคิดชั่ว
พระองค์ยังไม่คิดว่าเป็นบาป แต่หากทำชั่ว
พระองค์จะคิดเป็นบาปเพียงหนึ่งเดียว พระองค์จะพยายามหาทางให้มนุษย์ได้รับความดีอยู่ตลอดเวลา
- พระเจ้าทรงเป็น "อัช-ชะกูร" (Appreciative)
หมายถึง ผู้ที่เห็นคุณค่าในการงานของบ่าว และจะทรงตอบแทนให้
- พระเจ้าทรงเป็น ผู้ทรงให้อภัย (อัล-ฆ็อฟฟาร) เสมอ
หากมนุษย์ไม่บูชาสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ พระองค์จะ ให้อภัยบาปทุกอย่าง และการให้อภัยโทษนี้เป็น เงื่อนไขแรกในการเข้าสู่สวรรค์ ของพระองค์
- มนุษย์ได้รับคุณสมบัติบางประการจากพระเจ้า
เช่น การมองเห็น การได้ยิน การให้อภัย การมีเมตตา
การนำคุณสมบัติเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การให้อภัยผู้อื่น จะทำให้ จิตใจเบิกบาน ความเครียดและความแค้นหมดไป และเป็นการ ยกระดับด้านจิตวิญญาณให้เข้าใกล้พระเจ้า
- การทำความดีกับผู้อื่น เช่น การบริจาคทาน
การยิ้มให้ การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส หรือแม้แต่การนำสิ่งกีดขวางออกจากถนน
ก็เป็นการแสดงออกถึงการเคารพภักดีต่อพระเจ้า และ เป็นการยกระดับจิตวิญญาณ ด้วยเช่นกัน
- ชีวิตไม่ขาดทุน
- คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า "แท้จริงมนุษย์เป็นผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน
เว้นแต่ผู้ที่ศรัทธาและกระทำความดี" ดังนั้น การศรัทธาในพระเจ้าจึง ไม่ทำให้ชีวิตขาดทุน แต่ตรงกันข้าม
การไม่ศรัทธาทำให้ไม่รู้ว่าชีวิตจะทำเพื่อใครและจะดำเนินชีวิตอย่างไร
- ผู้ศรัทธาจะได้รับทั้ง ความกรุณาปรานีในโลกนี้ และ รางวัลตอบแทนในรูปของความเมตตาจากพระเจ้าในโลกหน้า ซึ่งผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการได้เป็นชาวสวรรค์
การรู้จักพระเจ้าและการศรัทธาดังกล่าวทำให้มนุษย์ รู้จักจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต คือการกลับไปหาพระเจ้า และ รู้วิธีการที่จะได้รับความรอดพ้น ซึ่งเป็นการเตรียมตัวสำหรับชีวิตนิรันดร์ในโลกหน้า
นอกจากนี้ ยังนำมาซึ่ง ความสงบทางจิตใจและหลักยึดมั่น เพราะเชื่อมั่นในการคุ้มครอง ปัจจัยยังชีพ
และการให้อภัยของพระองค์ การทำความดีทุกอย่างที่กระทำด้วยเจตนาเพื่อพระองค์
จะกลายเป็นผลบุญ และช่วย ยกระดับจิตวิญญาณ ของมนุษย์ให้เข้าใกล้พระองค์
ผู้ศรัทธาจะได้รับทั้งความกรุณาปรานีในโลกนี้
และรางวัลตอบแทนในรูปของความเมตตาจากพระเจ้าในโลกหน้า ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนและได้รับผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่
-----------
เรียบเรียงโดยสรุปจากการบรรยายหัวข้อ
รู้จักพระเจ้า รู้จักตัวเอง โดย อ.บรรจง บินกาซัน
https://www.youtube.com/watch?v=gUuh1bYHrE8
#แนะนำอิสลาม #สนใจอิสลาม #รับอิสลาม #มุสลิมใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
- สงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นใดๆ ก็ตามที่พิจารณาว่าไม่เหมาะควร -
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น