วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2568

กฎแห่งริซกี 3 ข้อ ในสูเราะฮ์ อัช-ชูรอ - ซุฟอัม อุษมาน

 


#กฎแห่งริซกี #ตะดับบุร


1. อายะฮ์ที่ 12 อัลลอฮ์เป็นเจ้าของริซกี พระองค์ควบคุมทุกอย่างในชั้นฟ้าและแผ่นดิน เป็นรากฐานความเชื่อที่มนุษย์จะต้องมั่นใจและศรัทธา

﴿ لَهُۥ مَقَالِيدُ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلۡأَرۡضِۖ يَبۡسُطُ ٱلرِّزۡقَ لِمَن يَشَآءُ وَيَقۡدِرُۚ إِنَّهُۥ بِكُلِّ شَيۡءٍ عَلِيمٞ 12 ﴾ [الشورى: 12] 


2. อายะฮ์ที่ 19 อัลลอฮ์ละเอียดอ่อนในการให้ พระองค์ไม่ทอดทิ้งบ่าว ทรงเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบ่าว

﴿ ٱللَّهُ لَطِيفُۢ بِعِبَادِهِۦ يَرۡزُقُ مَن يَشَآءُۖ وَهُوَ ٱلۡقَوِيُّ ٱلۡعَزِيزُ 19 ﴾ [الشورى: 19]  


3. อายะฮ์ที่ 27 อัลลอฮ์ให้ริซกีตามสัดส่วนที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคน บางคนที่ได้เยอะหรือได้น้อยย่อมมีเหตุผลที่แฝงไว้เบื้องหลัง

﴿ ۞وَلَوۡ بَسَطَ ٱللَّهُ ٱلرِّزۡقَ لِعِبَادِهِۦ لَبَغَوۡاْ فِي ٱلۡأَرۡضِ وَلَٰكِن يُنَزِّلُ بِقَدَرٖ مَّا يَشَآءُۚ إِنَّهُۥ بِعِبَادِهِۦ خَبِيرُۢ بَصِيرٞ 27 ﴾ [الشورى: 27]  


*อธิบายเพิ่มเติม
----------------
ในหะดีษที่เล่าจากอบู ฮุร็อยเราะฮ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮ์ บันทึกโดยอัต-ติรมิซีย์ 2466 ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮ์อะลัยฮิวะสัลลัม ได้อ่านอายะฮ์ ที่ 20 จากสูเราะฮ์ อัช-ชูรอ

﴿ مَن كَانَ يُرِيدُ حَرۡثَ ٱلۡأٓخِرَةِ نَزِدۡ لَهُۥ فِي حَرۡثِهِۦۖ وَمَن كَانَ يُرِيدُ حَرۡثَ ٱلدُّنۡيَا نُؤۡتِهِۦ مِنۡهَا وَمَا لَهُۥ فِي ٱلۡأٓخِرَةِ مِن نَّصِيبٍ 20 ﴾ [الشورى: 20]  

ความว่า "ผู้ใดปรารถนาผลตอบแทนของปรโลกเราจะเพิ่มผลตอบแทนของเขาแก่เขา และผู้ใดปรารถนาผลตอบแทนของโลกดุนยาเราจะให้แก่เขาบางส่วนเท่านั้น และสำหรับเขาจะไม่ได้ส่วนใดๆ อีกในปรโลก" (อัช-ชูรอ 20)

จากนั้นท่านก็อธิบายว่า
<<إنَّ اللَّهَ تعالى يقولُ يا ابنَ آدمَ : تفرَّغْ لعبادتي أملأْ صدرَكَ غنًى وأسدَّ فقرَكَ وإن لا تفعَل ملأتُ يديْكَ شغلاً ، ولم أسدَّ فقرَكَ>>. [الترمذي 2466]

ความว่า "แท้จริง อัลลอฮ์ได้พูดกับลูกหลานอาดัมว่า เจ้าจงทุ่มเทให้กับการอิบาดะฮ์ต่อข้า แล้วข้าจะทำให้หัวอกของเจ้าเต็มเปี่ยมด้วยความรู้สึกร่ำรวย และเติมเต็มความยากจนของเจ้าในการดำรงชีวิต ถ้าหากเจ้าไม่ทำเช่นนี้ ข้าจะให้มือทั้งสองของเจ้ายุ่งเหยิง และข้าจะไม่ปิดช่องแห่งความอดอยากของเจ้า" (อัต-ติรมิซีย์ 2466)


บทเรียน
--------
1. อายะฮ์ที่ 20 สรุปความว่า ไม่มีทางที่มนุษย์จะครอบครองดุนยาได้ทั้งหมด อัลลอฮ์จะแบ่งดุนยาให้กับเราเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่ เมื่อบ่าวแสวงหาอาคิเราะฮ์ พระองค์จะเพิ่มให้อีกหลายเท่า

2. อย่าให้การสาละวนกับดุนยาทำให้เราละทิ้งอิบาดะฮ์และลืมอัลลอฮ์

3. มิติแห่งบะเราะกะฮ์ในริซกี เกี่ยวโยงและผูกพันอย่างแนบแน่นกับสำนึกแห่งอาคิเราะฮ์


อ่านเพิ่ม
https://dorar.net/hadith/sharh/111622

วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2568

องค์ประกอบ 3 ด้าน ของการเป็นมุสลิม

 

ใจ วาจา กาย

หัวใจ

วาจา

กาย









ทุกคนต่างแสวงหาความสุข?

ทุกคนต่างแสวงหาความสุข
-------------------------
ในชีวิตประจำวันของเรา เราต่างมองหาหนทางมากมาย เช่น การทำงานหนักเพื่อเงินเดือนสูงๆ, การหาเวลาพักผ่อนไปเที่ยวเล่น, หรือการใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงกับความบันเทิงต่างๆ เพื่อให้รู้สึกสนุกสนานและเพลิดเพลิน แต่สิ่งเหล่านี้มักนำมาซึ่งความสุขเพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหมดความสนุกแล้ว เรามักกลับมารู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างในชีวิต ทั้งความเบื่อ ความเหงา หรือแม้แต่ความสับสนใจว่า ทำไมชีวิตยังไม่เต็มไปด้วยความหมายที่เราตามหา นักจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญหลายคนพบว่า คนที่มีศรัทธาในศาสนา มักรายงานว่ามีความสุขและสงบภายในมากกว่า เพราะเมื่อมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตนเองให้ยึดเหนี่ยวใจ นั่นช่วยให้เรามองเห็นหนทางและมีจุดยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

ความสุขชั่วคราวกับความสุขแท้จริง
-------------------------------
หลายคนจึงเริ่มสงสัยว่า แล้วความสุขที่แท้จริงคืออะไร? งานอดิเรก เสียงหัวเราะกับเพื่อน หรือความสะดวกสบายในชีวิตประจำวัน แม้จะให้ความสุข แต่ก็เพียงไม่นาน, ความสุขนั้นก็เลือนหายไป มันเหมือนน้ำในมือที่ยิ่งบีบก็หลุดรอดออกไป สถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์หรือปัญหาใหม่ๆ ยังคงตามมา และทำให้เรายังต้องเผชิญกับความทุกข์อยู่ดี

ศาสนา: หนทางสู่ความสุขมั่นคง
----------------------------
ในที่สุดเราจึงตั้งคำถาม: ศาสนาอะไรที่นำพาให้เกิดความสุขที่แท้จริง? บนโลกนี้มีศาสนาและความเชื่อมากมาย แต่ละศาสนาก็มีรากฐานและคำสอนที่แตกต่างกันมากมาย จึงไม่ใช่ทุกศาสนาทั้งหมดที่จะถูกต้องพร้อมกันหมด ดังนั้น ศาสนาใดเล่าจึงเป็นสัจธรรมที่แท้จริงและเป็นทางนำไปสู่ความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า?

ทำไมอิสลามคือทางเลือกของความจริง
----------------------------------
อิสลามหมายถึงการ มอบชีวิตและความเชื่อให้กับพระเจ้าองค์เดียว (อัลลอฮฺ) เป็นศาสนาที่เน้นสัจธรรมและชี้นำมนุษย์ให้พบกับความสงบภายใน หลักคำสอนต่างๆ ในอิสลามมีข้อเด่นที่ช่วยอธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมจึงเป็นศาสนาที่ให้ความสุขมั่นคงได้:
• เติมเต็มทางจิตวิญญาณ: อิสลามให้คุณค่ากับความสงบและอิ่มเอิบทางจิตใจ กล่าวคือ เมื่อเรายอมรับหลักคำสอนและยึดมั่นตามแนวทางของอิสลาม จิตใจจะรู้สึกมีสิ่งเติมเต็มภายใน ไม่ต้องคอยวิ่งตามความสุขจากสิ่งภายนอกตลอดเวลา
• สอดคล้องกับเหตุผล: ทุกคำสอนของอิสลามแทบไม่มีข้อห้ามใดที่ขัดกับเหตุผลหรือสติปัญญา อิสลามสอนให้เราใช้การคิดวิเคราะห์ และผู้ที่ศึกษาอิสลามบ่อยครั้งพูดว่าไม่มีสิ่งใดในศาสนานี้ที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะถ้าสิ่งใดไม่ชัดเจนหรือขัดแย้ง ศาสนาก็จะแนะนำให้ใช้วิจารณญาณตรวจสอบ
• สมดุลระหว่างโลกและจิตวิญญาณ: อิสลามไม่ได้ผลักไสชีวิตโลกีย์หรือเพิกเฉยต่อความต้องการในชีวิตประจำวัน แต่กลับสอนให้เราใช้ชีวิตอย่างสมดุล ให้ความสำคัญทั้งด้านจิตวิญญาณและชีวิตโลก เช่น อิสลามมีคำแนะนำสำหรับรายละเอียดในชีวิตประจำวันตั้งแต่การรับประทานอาหาร การแต่งกาย การอยู่ร่วมกับผู้อื่น ตลอดจนค่านิยมทางสังคม ทั้งหมดช่วยให้ชีวิตเป็นระเบียบและมีคุณค่าจากทุกมุมมอง
• ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต: ทุกๆ มิติของชีวิตมีหลักคำสอนรองรับ เช่น มนุษย์ควรปฏิบัติต่อกันอย่างไร ต้องดูแลตนเองและสังคมอย่างไร อิสลามมีแนวทางชัดเจนตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงหลักศีลธรรมของสังคม ทั้งหมดนี้ช่วยนำทางให้เรารู้สึกปลอดภัย มั่นคง และมีเป้าหมาย
• แนวทางสู่ความสุขที่ยั่งยืน: เมื่อเรารู้ว่าความสุขแท้จริงเกิดจากการเชื่อในพระเจ้าและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ เราก็จะมีทิศทางชีวิตที่ชัดเจน การมีศรัทธาเชื่อมโยงชีวิตกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ความมั่นใจว่าพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยเมตตารู้ดีว่าอะไรทำให้เรามีความสุขหรือทุกข์ และให้แนวทางที่ถูกต้องเพื่อเราไปสู่ความสุขยั่งยืน

หลักความเชื่อสำคัญของอิสลาม
----------------------------
ชาวมุสลิมเชื่อในหลักความเชื่อ 6 ประการ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของอิสลาม:
1. ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว (อัลลอฮฺ): เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเป็นผู้สร้างโลกและทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งอื่นใดเปรียบได้ พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวที่คู่ควรแก่การเคารพนับถือ
2. ศรัทธาในเทวทูต (มลาอิกะฮฺ): เชื่อว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างเหล่าทูตสวรรค์หลายพระองค์ เช่น ญิบรีล (กิ๊บรีล) ที่นำคำสอนของพระองค์มาสู่มนุษย์ เทวดาเหล่านี้ทรงประพฤติปฏิบัติตามพระบัญชาด้วยความเที่ยงตรง
3. ศรัทธาในคัมภีร์ที่เผยแผ่ลงมา: เชื่อว่าพระเจ้าประทานคัมภีร์ (คำสอนของพระเจ้า) หลายเล่มให้บรรดาศาสดา เช่น ตูเราะฮฺ (คำสอนของมูซา), อินญีล (คำสอนของอีซา) และ อัลกุรอาน ซึ่งชาวมุสลิมเชื่อว่าเป็นคัมภีร์สุดท้ายที่สมบูรณ์ที่สุด
4. ศรัทธาในศาสดา (เหล่านบี): เชื่อว่าพระเจ้าเลือกบุคคลพิเศษหลายคนมาเป็นศาสดาสอนมนุษย์ เช่น นบีนูหฺ (โนอาห์), นบีอิบรอฮีม (อับราฮัม), นบีดาวูด (ดาวิด), นบีสุไลมาน (ซาโลมอน), นบียูซุฟ (โยเซฟ), นบีมูซา (โมเสส) และอื่นๆ อีกมากมาย ในบรรดาศาสดาเหล่านี้รวมถึง นบีอีซา (เยซู) ผู้คนต้องเคารพศาสดาของพระเจ้า และชาวมุสลิมเชื่อว่าศาสดามูฮัมมัดคือศาสดาท่านสุดท้าย
5. ศรัทธาในวันตอบแทน (วันอาคิเราะฮฺ): เชื่อว่าหลังชีวิตในโลกนี้ ยังมีชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าจะตอบแทนความดีด้วยรางวัลในสวรรค์ และลงโทษความชั่วด้วยบทลงโทษในนรก ความเชื่อนี้ทำให้คนมีความหวังในสิ่งดีและตระหนักถึงผลของการกระทำ
6. ศรัทธาในกฎแห่งการกำหนด (กฎอัลลอฮฺ): เชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกนี้ เป็นไปด้วยความทรงประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ทรงกำหนดให้สิ่งที่ควรเกิดก็เกิดขึ้น และสิ่งที่พระองค์ไม่ประสงค์ก็ไม่มีวันเกิด ความเชื่อนี้ช่วยให้เราอดทนและไม่ท้อถอยเมื่อเจอปัญหา เพราะเชื่อว่าทุกสถานการณ์มีเหตุมีผลจากพระเจ้าทรงพระประสงค์เบื้องหลังเสมอ

การปฏิบัติหลัก 5 ประการของชาวมุสลิม
-----------------------------------
เพื่อเชื่อมความเชื่อเหล่านี้กับชีวิตประจำวัน ชาวมุสลิมจะปฏิบัติตามหลักปฏิบัติสำคัญ 5 ประการ ดังนี้:
1. ปฏิญญาศาสนา: คือการประกาศศรัทธาอย่างชัดเจนด้วยการกล่าวคำว่า “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ และมุฮัมมัดคือศาสนทูตของพระองค์” นับเป็นขั้นตอนแรกที่ทำให้ใครคนหนึ่งกลายเป็นมุสลิม
2. การละหมาด: คือการสวดมนต์แบบเฉพาะทางห้าครั้งในแต่ละวัน โดยมีขั้นตอนและบทสวดที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การละหมาดช่วยให้จิตใจสงบและเตือนให้เราระลึกอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงมีอยู่เหนือเรา
3. การจ่ายซะกาต: คือการแบ่งปันทรัพย์สินให้แก่ผู้ยากไร้อย่างสม่ำเสมอ สำหรับผู้ที่มีมาก ช่วยทำให้สังคมเกิดความเมตตา เกิดความเอื้ออาทร และทำให้ทุกคนเรียนรู้การแบ่งปัน
4. การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน: คือการงดเว้นอาหารและเครื่องดื่มระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นจนตกดินเป็นเวลา 1 เดือน การถือศีลอดช่วยฝึกร่างกายให้มีวินัย และทำให้ผู้ถือศีลอดได้รู้สึกถึงความลำบากของผู้อื่นที่ไม่มีอาหารพอ ซึ่งสร้างความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์มากขึ้น
5. การแสวงบุญไปมักกะฮ์ (ฮัจญ์): คือการเดินทางไปประกอบพิธีทางศาสนา ณ เมืองมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ชาวมุสลิมทุกคนที่มีสุขภาพและฐานะดีเพียงพอควรทำสักครั้งหนึ่ง การฮัจญ์ช่วยเสริมสร้างความรักสามัคคีระหว่างมุสลิมจากทั่วโลก ฝึกฝนความอดทน และทำให้ศรัทธาเติบโตมากขึ้นตลอดระยะเวลาของพิธีกรรม
ชีวิตที่มีความหมายในอิสลาม
--------------------------
เมื่อเราเชื่อและปฏิบัติตามหลักความเชื่อและหลักปฏิบัติของอิสลาม ชีวิตก็จะดำเนินไปด้วยความเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยคุณค่า แนวทางต่างๆ ของอิสลามช่วยให้เรามีความชัดเจน ในการดำเนินชีวิต ไม่ต้องคิดวนไปมาอย่างไร้ทิศทาง ตั้งแต่การละหมาดในตอนเช้า ไปจนถึงมื้ออาหารตอนเย็นและการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ทุกอย่างมีคำแนะนำชัดเจนที่ช่วยให้เราดำรงชีวิตอยู่ในกรอบของสิ่งดีงาม
คิดดูว่า หากคุณเลือกที่จะเดินตามเส้นทางแห่งศรัทธานี้ คุณจะเสริมสร้างคุณสมบัติใดบ้างในชีวิต? ความบริสุทธิ์ในหัวใจ ความสงบทางจิตใจ และความรู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า เหล่านี้คือสิ่งที่จะเพิ่มขึ้น เมื่อคุณเชื่อในสัจธรรมยิ่งใหญ่และดำเนินชีวิตไปตามแนวทางที่ทรงรอบรู้ของพระเจ้า ในทางกลับกัน การแลกความสุขระยะสั้นบนโลกกับความสงบสุขอันยั่งยืนในชีวิตหลังความตาย
หลายคนอาจตั้งคำถามว่า “คุณจะเสียอะไรไปถ้าเปิดใจรับอิสลาม?” คำตอบคือ ไม่มีอะไรต้องเสีย นอกจากความรู้สึกไม่มั่นใจเล็กๆ เมื่อมีคนใกล้ตัวมองคุณเปลี่ยนไป ซึ่งมักเป็นอคติทั่วไปเท่านั้น การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อาจพาชีวิตของคุณก้าวเข้าสู่ประตูแห่งความสุขที่แท้จริงได้ – คุณอาจใช้ชีวิตเหมือนเดิม ทว่าความหมายและความสงบภายในจะเพิ่มมากขึ้น และความสุขอันยิ่งใหญ่กำลังรอคุณอยู่เสมอ

วันพุธที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568

รู้จักพระเจ้า - ซุฟอัม อุษมาน

 


มารู้จักพระเจ้ากันเถิด

 

เหตุใดมนุษย์จำเป็นต้องรู้จักพระเจ้า?

มนุษย์จำเป็นต้องรู้จักพระเจ้าด้วยเหตุผลหลายประการที่สำคัญ ซึ่งเชื่อมโยงกับการดำรงชีวิตในโลกนี้และชีวิตหลังความตาย

  • เพื่อรู้เป้าหมายและหนทางในการกลับคืนสู่พระองค์ มนุษย์ไม่ได้เกิดมาเอง และเมื่อหมดลมหายใจก็จะจากโลกนี้ไป การรู้จักพระเจ้าทำให้เราเข้าใจว่าเราจะต้องกลับไปหาผู้ทรงสร้างเรามา ชีวิตในโลกนี้จึงเป็นการเตรียมตัวสำหรับชีวิตนิรันดร์ในโลกหลังความตาย การรู้จักพระเจ้าช่วยให้มนุษย์รู้ว่าเป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ใด และรู้วิธีการที่จะกลับไปหาพระองค์ เมื่อได้ยินข่าวการตาย ศาสนาอิสลามสอนให้กล่าวว่า

إنا لله وإنا إليه راجعون

อินนาลิลลาฮ์ วะอินนา อิลัยรอญิอูน

"แท้จริงเราเป็นของอัลลอฮ์ และยังพระองค์ที่เราจะต้องกลับไป"

นอกจากนี้ การละหมาดยังสอนให้มนุษย์วิงวอนขอ "ทางที่เที่ยงตรง" เพื่อนำทางกลับไปหาพระองค์

  • เพื่อความรอดพ้นและการป้องกันจากการลงโทษ การรู้จักพระเจ้าช่วยให้มนุษย์สามารถเลือกหนทางที่นำไปสู่ความรอดปลอดภัยจากการถูกลงโทษในโลกหน้าได้
  • เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ในการพึ่งพิงและหาที่ยึดเหนี่ยว มนุษย์มีคุณสมบัติที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ และต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่งพิง เนื่องจากมนุษย์อ่อนแอ และกลัวสิ่งสองอย่างคือ กลัวไม่ปลอดภัยและกลัวไม่มีกิน อย่างไรก็ตาม หากมนุษย์ไม่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริง อาจจะไปพึ่งพาสิ่งที่ตนเองคิดว่าจะคุ้มครองได้ เช่น ตะกรุด เครื่องรางของขลัง หรือการสะสมทรัพย์สินด้วยความโลภ แต่เมื่อรู้จักพระเจ้า มนุษย์จะเชื่อว่าพระองค์คือผู้คุ้มครองและผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ทำให้ไม่ต้องกลัวเรื่องความอดอยากหรือต้องพึ่งพาสิ่งอื่นใด
  • เพื่อเข้าใจสถานะของตนเองในฐานะผู้ถูกสร้างและเป็นบ่าวของพระองค์ การรู้จักพระเจ้าจะช่วยให้มนุษย์วางตัวได้อย่างถูกต้อง โดยเข้าใจว่าตนเองเกิดมาในฐานะบ่าวที่ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ การทำตามคำสั่งของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นศาสนกิจหรือการดำเนินชีวิตประจำวัน หากทำด้วยความศรัทธาและตามแบบอย่างที่ถูกต้อง ก็จะกลายเป็นการแสดงความเคารพภักดีต่อพระองค์และได้รับผลตอบแทนที่ดี
  • เพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนและได้รับผลตอบแทนที่ดีในชีวิต คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า

﴿ إِنَّ ٱلۡإِنسَٰنَ لَفِي خُسۡرٍ 2 إِلَّا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ وَعَمِلُواْ ٱلصَّٰلِحَٰتِ ﴾ [العصر: 2،  3] 

"แท้จริงมนุษย์เป็นผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน เว้นแต่ผู้ที่ศรัทธาและกระทำความดี"

การศรัทธาในพระเจ้าพร้อมกับการกระทำความดี จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากมนุษย์กระทำความดีด้วยเจตนาเพื่อพระองค์ การงานนั้นจะถูกตอบแทนและถือว่าเป็นการถวายแด่พระเจ้า แม้แต่การคิดดีก็ได้รับรางวัลตอบแทนหนึ่งความดี และการคิดชั่วแล้วละทิ้งความชั่วก็ยังได้รับหนึ่งความดี การมีศรัทธาในพระเจ้าจึงไม่ทำให้ขาดทุน แต่การไม่มีศรัทธาต่างหากที่ทำให้ขาดทุน เพราะไม่รู้ว่าตนเองจะใช้ชีวิตเพื่อใครและอย่างไร

  • เพื่อยกระดับจิตวิญญาณและชำระล้างจิตใจ การรู้จักคุณสมบัติและพระนามของพระเจ้า เช่น การเป็นผู้ให้อภัย, ผู้ทรงเมตตา, ผู้ทรงกรุณาปรานี จะช่วยให้มนุษย์ได้นำคุณสมบัติเหล่านี้มาใช้ในการดำเนินชีวิต เช่น การให้อภัยผู้อื่นเมื่อถูกทำให้โกรธ หรือการหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ผู้ยากไร้ การกระทำเช่นนี้เป็นการยกระดับจิตวิญญาณและทำให้จิตใจบริสุทธิ์และสูงส่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น

 

มนุษย์จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?

มนุษย์จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไรนั้น สามารถพิจารณาได้จากหลายแง่มุมดังนี้:

  • โดยคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์และต้องการที่ยึดเหนี่ยว มนุษย์มีคุณสมบัติอย่างหนึ่งคือ เชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล และต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นสรณะ เนื่องจากมนุษย์อ่อนแอและกลัวสิ่งสองอย่างคือ กลัวไม่ปลอดภัยและกลัวไม่มีกิน ก่อนที่วิญญาณมนุษย์จะเข้ามาจุติในร่าง พระองค์ทรงให้ดวงวิญญาณได้ยืนยันกับพระองค์ก่อนว่า พระองค์คือพระผู้เป็นเจ้าของดวงวิญญาณทั้งหลาย
  • ผ่านการแนะนำตัวของพระเจ้าและศาสดาผู้เผยแผ่ พระเจ้าได้แนะนำพระองค์เองมาโดยตลอด ตั้งแต่มีมนุษย์บนโลกใบนี้ และมนุษย์ก็ได้รับการแนะนำให้รู้จักพระเจ้ามาโดยตลอด พระองค์ได้ทรงส่งศาสดา (นบี) มาเพื่อบอกให้มนุษย์ได้รู้ว่าพระองค์เป็นผู้คุ้มครองและเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพ ศาสดาทั้งหลาย เช่น โมเสส, พระเยซู, และท่านนบีมุฮัมมัด ล้วนมายืนยันหลักศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว ศาสดาไม่ได้คิดคำสอนขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าเป็นผู้บอกให้ศาสดามาสั่งสอนมนุษย์
  • จากการศึกษาคัมภีร์และวจนะของพระเจ้า คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวถึงการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวและคุณสมบัติของพระองค์ อัลกุรอานซึ่งเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ประทานให้แก่มนุษย์ผ่านท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ระบุว่า

﴿ قُلۡ هُوَ ٱللَّهُ أَحَدٌ 1 ٱللَّهُ ٱلصَّمَدُ 2 ﴾ [الإخلاص: 1،  2] 

"จงกล่าวเถิด พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียว พระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของสิ่งทั้งหมด"

หรือแม้กระทั่งคัมภีร์โบราณบางเล่ม เช่น คัมภีร์พระเวท, พระไตรปิฎก (อรรถกถา), ไบเบิล ก็ล้วนมีการกล่าวถึงการมีอยู่ของพระเจ้าองค์เดียวและคุณสมบัติของพระองค์ เช่น คัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงพระเจ้าว่าเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และสิ่งบนโลกนี้ และไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก คัมภีร์พระเวท ซึ่งมาก่อนศาสนาพุทธ ก็กล่าวว่าพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียว ไม่มีผู้ใดสมควรได้รับการกราบไหว้นอกจากพระองค์และโลกนี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากพระองค์ แม้ว่าจะมีส่วนอื่นๆ ในคัมภีรเหล่านี้ที่ถูกบิดเบือนไปตามกาลเวลาและยุคสมัยก็ตาม นอกจากอัลกุรอานที่ยังคงรักษาความเที่ยงตรงไว้ตลอดไป

  • โดยการเรียนรู้และเข้าใจคุณสมบัติและพระนามของพระองค์ การรู้จักพระเจ้าไม่ได้หมายถึงแค่การเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่ แต่ต้อง เชื่อในคุณสมบัติและพระนามของพระองค์ทั้งหมด การรู้จักคุณสมบัติของพระเจ้า เช่น ทรงเป็นผู้ทรงประเสริฐ, ผู้ทรงให้อภัย, ผู้ทรงกรุณาปรานี, ผู้ทรงเมตตา, ผู้ทรงเห็น, ผู้ทรงได้ยิน, ผู้ทรงรอบรู้ จะช่วยให้มนุษย์สามารถนำคุณสมบัติเหล่านั้นมาใช้ในการดำเนินชีวิต การนำคุณสมบัติของพระองค์มาใช้ เช่น การให้อภัยผู้อื่น หรือการช่วยเหลือผู้ยากไร้ เป็นการยกระดับจิตวิญญาณและทำให้จิตใจบริสุทธิ์และสูงส่งขึ้น
  • จากการสังเกตสิ่งถูกสร้างและระบบระเบียบในจักรวาล การมีอยู่ของบริษัทขนาดใหญ่ที่มีอาคารสูงหลายสิบชั้น แสดงถึงความมั่งคั่งและความสามารถของผู้เป็นเจ้าของ เช่นเดียวกับโลกและจักรวาลที่มีระบบระเบียบ การโคจรของดวงดาว และบรรยากาศ 7 ชั้นที่คอยปกป้องมนุษย์ ล้วนเป็นหลักฐานโดยปริยายที่ยืนยันถึงการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงสร้าง มนุษย์สามารถประดิษฐ์ดาวเทียมที่มองเห็นความเคลื่อนไหวบนโลกได้ พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ก็ย่อมมองเห็นการกระทำของมนุษย์ได้เช่นกัน

 

คุณลักษณะของพระเจ้า

ในการอธิบายของศาสนาอิสลาม พระเจ้า (อัลลอฮ์) มีคุณลักษณะและพระนามอันงดงามมากมาย ซึ่งเป็นที่มาของการรู้จักพระองค์สำหรับมนุษย์ การรู้จักพระเจ้าไม่ได้หมายถึงแค่การเชื่อว่าพระองค์มีอยู่ แต่ต้อง เชื่อในคุณสมบัติและพระนามของพระองค์ทั้งหมด คุณลักษณะสำคัญของพระเจ้าในการอธิบายของศาสนาอิสลาม ตัวอย่างบางส่วน อาทิ:

  • ความเป็นหนึ่งเดียว (เตาฮีด):
    • พระองค์ทรงเป็น หนึ่งเดียว (อะฮัด) ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากพระองค์ ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของสิ่งทั้งหมด
    • เตาฮีด หมายถึง การรวมให้เป็นหนึ่ง คือการเชื่อว่าอัลลอฮ์เท่านั้นที่เป็นพระเจ้าสูงสุด ควรค่าแก่การเคารพสักการะ เป็นผู้ทรงสร้าง ทรงบริหาร ดูแล และคุ้มครองทุกสิ่ง และเป็นผู้ที่มนุษย์ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตาม
  • ผู้ทรงสร้างและผู้ดูแลจักรวาล:
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้สร้าง (อัล-คอลิก) ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และสิ่งบนโลกนี้
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงกำเนิดสิ่งทั้งปวง และเป็น ผู้ที่ทรงกำหนดกฎระเบียบและนำทางทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงกำหนดไว้
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ดูแล (ร็อบบ์) หรือผู้ทรงอภิบาลของโลกทั้งหลาย ไม่ใช่แค่โลกนี้ใบเดียว แต่รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งบนดิน ในน้ำ และดาวอื่นๆ อีกแสนล้านดวง
    • โลกนี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้หากปราศจากพระองค์ และยังคงอยู่ตราบใดที่พระองค์ทรงรักษามันไว้
  • ผู้ทรงอยู่เหนือกฎธรรมชาติและจินตนาการของมนุษย์:
    • พระองค์ไม่เหมือนกับสิ่งใดที่มองเห็นได้ มนุษย์จึงไม่สามารถจินตนาการ วาดรูป หรือปั้นรูปพระเจ้ามาเคารพสักการะได้
    • พระองค์ ทรงไม่มีลูกหรือพ่อ และไม่จำเป็นต้องมีคู่ครองเพื่อมีกำเนิด การที่พระองค์ให้ท่านนบีอีซา (พระเยซู) เกิดมาโดยไม่มีพ่อ ก็เพื่อแสดงถึง อำนาจของพระองค์ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ
    • พระองค์ อยู่เหนือกาลเวลา และ ไม่พึ่งพาสิ่งใด ในขณะที่สรรพสิ่งทั้งหลายพึ่งพาพระองค์
  • คุณสมบัติแห่งการมีอยู่และความสมบูรณ์:
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงสัตย์จริง (ผู้รักษาคำมั่นสัญญา)
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงชีวิน (ผู้ทรงชีวิต) และ ไม่มีวันตาย พระองค์จะยังคงอยู่เพียงผู้เดียวเมื่อโลกสิ้นสลาย
    • พระองค์ทรง ดำรงอยู่ได้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ได้อย่างไร
  • คุณสมบัติแห่งความรักและความเมตตา:
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงกรุณาปรานี (อัร-เราะฮ์มาน) และ ผู้ทรงเมตตา (อัร-เราะฮีม) เสมอ
    • ความกรุณาปรานีของพระองค์เห็นได้ในโลกนี้ ที่พระองค์ประทานแสงแดด น้ำฝน อาหารให้แก่ทุกชีวิต ส่วน ความเมตตาของพระองค์ (อัร-เราะฮีม) จะประทานให้แก่ดวงวิญญาณที่มีความศรัทธาในโลกหน้า เพื่อเป็นผลตอบแทน
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงให้อภัย (อัล-ฆ็อฟฟาร) เสมอ และ จะพยายามหาทางให้อภัยความผิดทุกอย่าง ของมนุษย์ เว้นแต่การชิริกหรือบูชาสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ หากมนุษย์บนโลกนี้ไม่ทำผิดเลย พระองค์ก็จะสร้างมนุษย์รุ่นใหม่ขึ้นมาเพื่อให้มีผู้ที่ทำผิด เพื่อที่พระองค์จะได้ทรงให้อภัย
  • คุณสมบัติแห่งการรับรู้และการตัดสิน:
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงเห็น (อัล-บะซีร) ทุกการกระทำของมนุษย์ เปรียบได้กับการที่มนุษย์สร้างดาวเทียมที่โคจรรอบโลกและมองเห็นความเคลื่อนไหวบนโลกได้ พระองค์ผู้สร้างมนุษย์ก็ย่อมมองเห็นการกระทำของมนุษย์ได้เช่นกัน
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงได้ยิน (อัส-สะมีอฺ) แม้กระทั่งเสียงกระซิบในความคิดของมนุษย์
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงรอบรู้ (อัล-อะลีม)
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงคุ้มครอง (อัล-ฮาฟิซ)
    • พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงเห็นคุณค่า (อัช-ชะกูร) หมายถึง ผู้ที่เห็นคุณค่าในการงานของบ่าว หากมนุษย์ทำความดีด้วยเจตนาเพื่อพระเจ้า พระองค์จะทรงตอบแทน แม้กระทั่งการคิดดีก็ได้รับรางวัล หากเจตนาทำดี แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติก็ได้รับผลบุญแล้วหนึ่งความดี และหากทำดี จะได้รับผลบุญ 10 เท่า หากคิดชั่วแต่ไม่ทำ พระองค์ก็ยังให้ผลตอบแทนเป็นความดีหนึ่งอย่าง

อัลลอฮ์คือพระเจ้าที่แท้จริง

อัลลอฮ์ คือพระนามเฉพาะของพระเจ้าในศาสนาอิสลาม และการกล่าวว่า "อัลลอฮ์คือพระเจ้าที่แท้จริง" หมายถึงการยืนยันถึง

    • ความเป็นหนึ่งเดียวและสูงสุด: มีเพียง อัลลอฮ์องค์เดียวเท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ และไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนหรือเป็นหุ้นส่วนกับพระองค์ พระองค์ทรงเป็น ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียว โดยไม่มีที่สอง
    • ผู้ทรงสร้างและดูแลทุกสรรพสิ่ง: พระองค์คือ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดพระองค์ทรง บริหาร ดูแล และคุ้มครอง ทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง รวมถึง ประทานปัจจัยยังชีพ ให้แก่มนุษย์และสรรพสัตว์ พระองค์ทรงเป็น ผู้กำหนดกฎระเบียบและนำทางทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามที่พระองค์ทรงกำหนด
    • ผู้ทรงอยู่เหนือขีดจำกัดใดๆ: ไม่มีสิ่งใดเหมือนพระองค์ มนุษย์จึงไม่สามารถจินตนาการ วาดรูป หรือปั้นรูปเคารพเพื่อบูชาพระองค์ได้ พระองค์ ดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง และทรงอยู่เหนือกาลเวลา โดยไม่มีวันตายพระองค์ ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งใด ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งต้องพึ่งพาพระองค์
    • ผู้สมควรแก่การเคารพสักการะและเชื่อฟังแต่เพียงผู้เดียว: การศรัทธาในอัลลอฮ์ในฐานะพระเจ้าที่แท้จริง หมายถึงการมอบความเคารพสักการะและการปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์แต่เพียงผู้เดียว พระองค์ทรงเป็น สิ่งยึดเหนี่ยว (สรณะ) แต่เพียงผู้เดียว ที่มนุษย์ต้องการ

 

คุณค่าจากการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ พระเจ้าที่แท้จริง

การศรัทธาในพระเจ้า (อัลลอฮ์) ในศาสนาอิสลามนำมาซึ่งประโยชน์และคุณค่ามากมายต่อชีวิตมนุษย์ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า คุณประโยชน์เหล่านี้ช่วยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข มีหลักยึดมั่น และเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตนิรันดร์

คุณประโยชน์จากการศรัทธาในพระเจ้าที่แท้จริง ได้แก่:

  • ความรอดพ้นและจุดมุ่งหมายของชีวิต
    • การรู้จักพระเจ้าทำให้มนุษย์ รู้ว่าตนเองมีสถานะเป็นบ่าวที่ต้องเชื่อฟังพระเจ้า ซึ่งเป็นนาย
    • มนุษย์จะเข้าใจว่าตนไม่ได้เกิดมาเอง และวันหนึ่งจะต้องจากโลกนี้ไป โดยมี จุดหมายปลายทางคือการกลับไปหาพระเจ้าผู้ทรงสร้าง
    • การศรัทธาทำให้มนุษย์ รู้จักวิธีการกลับไปหาพระเจ้า และรู้ว่าในที่สุดจะต้องกลับไปยืนต่อหน้าพระองค์เพื่อตอบคำถามในการกระทำที่ผ่านมา
    • นำไปสู่ ความรอดปลอดภัยจากการถูกลงโทษในโลกหน้า และเป็น ทางรอดที่แท้จริงในโลกหน้า
  • ความสงบทางจิตใจและหลักยึดมั่น
    • มนุษย์จะมีความเชื่อมั่นในคุณสมบัติของพระเจ้า ซึ่งทำให้ ดำเนินชีวิตด้วยความสุข และ ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวหรือกังวลต่อสิ่งใดๆ
    • ไม่จำเป็นต้อง เกรงกลัวผู้ใด หรือแสวงหาเครื่องรางของขลัง ตะกรุด มาคุ้มครอง เพราะเชื่อว่า พระเจ้าทรงคุ้มครอง อยู่แล้ว
    • ไม่จำเป็นต้อง กลัวว่าจะอดตาย เพราะพระเจ้าทรงเป็น ผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
    • การศรัทธาช่วยให้มี หลักยึดมั่นและสิ่งควบคุมใจ มนุษย์ทุกคนมีความต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวเป็นสรณะ และพระเจ้าทรงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวแต่เพียงองค์เดียว
  • การยกระดับจิตวิญญาณและผลตอบแทน
    • การศรัทธาและการกระทำความดี จะทำให้การงานในชีวิตประจำวัน กลายเป็นผลบุญ แม้เพียงแค่คิดดีก็ได้รับผลบุญแล้วหนึ่งความดี และหากนำเจตนาดีไปปฏิบัติ จะได้รับผลบุญตอบแทนถึง 10 เท่า
    • ในทางกลับกัน หากคิดชั่ว พระองค์ยังไม่คิดว่าเป็นบาป แต่หากทำชั่ว พระองค์จะคิดเป็นบาปเพียงหนึ่งเดียว พระองค์จะพยายามหาทางให้มนุษย์ได้รับความดีอยู่ตลอดเวลา
    • พระเจ้าทรงเป็น "อัช-ชะกูร" (Appreciative) หมายถึง ผู้ที่เห็นคุณค่าในการงานของบ่าว และจะทรงตอบแทนให้
    • พระเจ้าทรงเป็น ผู้ทรงให้อภัย (อัล-ฆ็อฟฟาร) เสมอ หากมนุษย์ไม่บูชาสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์ พระองค์จะ ให้อภัยบาปทุกอย่าง และการให้อภัยโทษนี้เป็น เงื่อนไขแรกในการเข้าสู่สวรรค์ ของพระองค์
    • มนุษย์ได้รับคุณสมบัติบางประการจากพระเจ้า เช่น การมองเห็น การได้ยิน การให้อภัย การมีเมตตา การนำคุณสมบัติเหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การให้อภัยผู้อื่น จะทำให้ จิตใจเบิกบาน ความเครียดและความแค้นหมดไป และเป็นการ ยกระดับด้านจิตวิญญาณให้เข้าใกล้พระเจ้า
    • การทำความดีกับผู้อื่น เช่น การบริจาคทาน การยิ้มให้ การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส หรือแม้แต่การนำสิ่งกีดขวางออกจากถนน ก็เป็นการแสดงออกถึงการเคารพภักดีต่อพระเจ้า และ เป็นการยกระดับจิตวิญญาณ ด้วยเช่นกัน
  • ชีวิตไม่ขาดทุน
    • คัมภีร์กุรอานกล่าวว่า "แท้จริงมนุษย์เป็นผู้ที่ขาดทุนอย่างแน่นอน เว้นแต่ผู้ที่ศรัทธาและกระทำความดี" ดังนั้น การศรัทธาในพระเจ้าจึง ไม่ทำให้ชีวิตขาดทุน แต่ตรงกันข้าม การไม่ศรัทธาทำให้ไม่รู้ว่าชีวิตจะทำเพื่อใครและจะดำเนินชีวิตอย่างไร
    • ผู้ศรัทธาจะได้รับทั้ง ความกรุณาปรานีในโลกนี้ และ รางวัลตอบแทนในรูปของความเมตตาจากพระเจ้าในโลกหน้า ซึ่งผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการได้เป็นชาวสวรรค์

 

การรู้จักพระเจ้าและการศรัทธาดังกล่าวทำให้มนุษย์ รู้จักจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต คือการกลับไปหาพระเจ้า และ รู้วิธีการที่จะได้รับความรอดพ้น ซึ่งเป็นการเตรียมตัวสำหรับชีวิตนิรันดร์ในโลกหน้า นอกจากนี้ ยังนำมาซึ่ง ความสงบทางจิตใจและหลักยึดมั่น เพราะเชื่อมั่นในการคุ้มครอง ปัจจัยยังชีพ และการให้อภัยของพระองค์ การทำความดีทุกอย่างที่กระทำด้วยเจตนาเพื่อพระองค์ จะกลายเป็นผลบุญ และช่วย ยกระดับจิตวิญญาณ ของมนุษย์ให้เข้าใกล้พระองค์ ผู้ศรัทธาจะได้รับทั้งความกรุณาปรานีในโลกนี้ และรางวัลตอบแทนในรูปของความเมตตาจากพระเจ้าในโลกหน้า ทำให้ชีวิตไม่ขาดทุนและได้รับผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่

 

-----------

เรียบเรียงโดยสรุปจากการบรรยายหัวข้อ รู้จักพระเจ้า รู้จักตัวเอง โดย อ.บรรจง บินกาซัน

https://www.youtube.com/watch?v=gUuh1bYHrE8

#แนะนำอิสลาม #สนใจอิสลาม #รับอิสลาม #มุสลิมใหม่